วันพุธที่ 24 เมษายน 2562 ณ ห้องประชุม 201 อาคารสำนักผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน ระหว่าง นายพรเทพ นิศามณีพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือ สทน. และนายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ (กฟผ.)

ดร.พรเทพ นิศามณีพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน ) หรือ สทน. กล่าวว่า งานวิจัยและพัฒนาด้านพลาสมาและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันเป็นศาสตร์ขั้นสูง มีโครงสร้างพื้นฐานด้านอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความทันสมัย ซึ่งจะต้องอาศัยบุคลากรหลายด้านที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆ กันมาทำงานร่วมกัน การทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานจากต่างกระทรวงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันประเทศให้มีความเจริญทัดเทียมกับนานาประเทศ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันในครั้งนี้จึงเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญต่อการวิจัยด้านพลาสมาและพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันในประเทศไทย เพื่อเกิดการบูรณาการการกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์งานวิจัยด้านนี้อย่างจริงจัง รวมทั้ง เพื่อสนับสนุนการสร้างเครือข่ายนักวิจัยด้านนี้ให้มีการทำงานร่วมกันอย่างมีทิศทางและสามารถตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม และได้รับการพัฒนาศักยภาพให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ รวมทั้ง เกิดนวัตกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ จากเทคโนโลยีพลาสมา เช่น การผลิตวัสดุทนความร้อนสูงเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม การใช้เครื่องพลาสมาทางการแพทย์ และการเกษตร เป็นต้น การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สทน. และ กฟผ. มีกรอบความร่วมมือดังนี้

  1. ร่วมกันศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และงานบริการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม
  2. ร่วมกันดำเนินการและให้การสนับสนุนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันและเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งในแบบพื้นฐานและการประยุกต์เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
  3. ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเครื่องโทคาแมค (Tokamak) และเครื่องเร่งพลาสมาเชิงเส้น (Plasma Linear Device) ตลอดจนอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันของประเทศไทย
  4. ให้ความร่วมกันมือในการจัดอบรมและถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันแก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย บุคลากรทางการศึกษา เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน
  5. ให้ความร่วมกันมือในการสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างความรู้ในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะทางดังกล่าว ตลอดจนเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง

ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สทน. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชันและพลาสมา ได้เปิดเผยว่า หลังจาก กฟผ.- สทน. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน การไฟฟ้าจะสนับสนุนเงินงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชัน นอกจากนี้ กฟผ. จะส่งวิศวกรเข้าร่วมโครงการพัฒนาเครื่องโทคาแมค (Tokamak) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกักเก็บพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็ก และเป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาวิจัยเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันซึ่งประเทศจีนมอบให้ประเทศไทย โดยผ่าน สทน. โดยในช่วงเดือน พ.ค. 2562นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้าน ฟิวชันจากจีนจะมาพบปะพูดคุยภาพรวมการดำเนินการทั้งหมดกับทีมงาน ประมาณเดือนมิ.ย. 62 ทาง สทน. กฟผ. และมหาวิทยาลัยเครือข่าย จะส่งทีมงานไปทำงานด้าน Engineering Design ของเครื่อง Tokamak ประมาณ 20 คน โดยจะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันพลาสมาฟิสิกส์ ประเทศจีน เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นเริ่มในช่วงเดือน ส.ค.62 ทีมงานทั้งหมดจะเริ่มออกแบบองค์ประกอบต่างๆอย่างละเอียด (Detail Design) หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการประกอบเครื่องโทคาแมคที่ประเทศจีน โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 ปี ระหว่างนั้น นักวิจัย สทน. กฟผ. และมหาวิทยาลัย ก็จะได้ศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ไปควบคู่กัน อาทิ พัฒนาระบบ Power Supplier แบบ High Volt การพัฒนาวัสดุทนความร้อนสูง พัฒนาระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาระบบวัดสมบัติของพลาสมา และทดสอบเดินเครื่องจนเกิดพลาสมาครั้งแรก (Frist Plasma) หลังจากนั้น จะขนย้ายเครื่องกลับมาติดตั้งที่ สทน. และติดตั้งระบบเสริมต่างๆที่เมืองไทย คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี เครื่องโทคาแมคในประเทศไทยจะเริ่มพัฒนาและใช้งานได้จริง เมื่อมีการศึกษาวิจัยด้านพลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชันอย่างจริงจังแล้ว ก็จะสามารถนำพลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชันไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย อาทิ ในเชิงเกษตรกรรม ด้านอาหารที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อโรคในอาหารและผลิตผลทางการเกษตร ในเชิงการแพทย์ การประยุกต์เทคโนโลยีพลาสมามาไว้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขอนามัยโดยใช้พลาสมาในการบำบัดแผลติดเชื้อและแผลเรื้อรัง พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดเนื้อเยื่อใหม่ หรือการรักษาผิวหน้า การรักษาแผล ตลอดจนถึงการมีส่วนช่วยในเรื่องของการกำจัดขยะและของเสียอีกด้วย ในส่วน กฟผ.เองอาจมีการพัฒนาต่อยอดศึกษาเทคโนโลยีฟิวชันสำหรับเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน