ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำรวจ “ดัชนีความพร้อมด้านการเกษียณอายุแห่งชาติ” (NRRI) ปี 2566 พบความพร้อมด้านการเงินคนไทยต่ำลงต่อเนื่อง เหตุขาดทักษะด้านการเงิน ส่งผลให้กลุ่มผู้สูงอายุขาดรายได้ หนี้สินล้นพ้นตัว ระดมสมองคลัง-ธปท.-กอช.กระตุ้นการออม

ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดผลการสำรวจ “ดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณแห่งชาติ” (National Retirement Readiness Index :NRRI) ประจำปี 2566 พร้อมระดมสมองกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แลกเปลี่ยนความคิดภายใต้หัวข้อ “การเตรียมความพร้อม เพื่อการเกษียณอายุ เรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด” และ “ทักษะทางการเงินและทักษะทางดิจิทัลของคนไทย” เพื่อร่วมวางมาตรการกระตุ้นการออม

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกๆของโลกที่ก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ในปี 2566 มีประชากรสูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป 19% ของจำนวนประชากร ขณะเดียวกันโครงสร้างครอบครัวของไทยก็มีขนาดเล็กลง ประกอบกับระบบรองรับการเกษียณอายุอย่างมั่นคงที่ภาครัฐจัดไว้ให้ยังมีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มประชากร ดังนั้นกลุ่มคนที่ไม่ใช่ข้าราชการต้องพึ่งพาตนเองอย่างมากในการเตรียมความพร้อมเพื่อการเกษียณอายุ ทำให้เกิดความท้าทายต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อการเกษียณอายุของคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

  1. บทบาทของ CBS ไม่ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่ดำเนินการวิจัยเพื่อนำเสนอกลยุทธ์ และนโยบายทางการเงินของประเทศให้เดินไปในทิศทางที่เหมาะสมด้วย โดยพัฒนาดัชนีชี้วัดความพร้อมเพื่อการเกษียณ หรือ National Retirement Readiness Index (NRRI) ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อเป็นเครื่องมือเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นแนวทางพัฒนานโยบายการเงินของประเทศ ให้คนไทยมีสุขภาพทางเงิน (Financial Wellness) ที่ดี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐชัย ศีลาเจริญ หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความพร้อมเพื่อการเกษียณ หรือ NRRI เกิดจากการสำรวจข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จัดทำทุก 2 ปี เริ่มครั้งแรกในปี 2564 ครั้งนี้ ปี 2566 เป็นครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ในปี 2568 เป็นดัชนีที่ครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางการเงิน ( Financial Readiness Index :F-RRI) และความมั่นคงด้านสุขภาพ/คุณภาพชีวิต (Quality of Life Index : Q-RRI) สำหรับปี 2566 สำรวจข้อมูลจากประชากร 2,464 คน ผลปรากฎว่า NRRI มีค่าเฉลี่ยที่ 49.30 คะแนนสูงกว่าค่ามัธยฐานที่ 48.60 คะแนน แสดงว่าคนไทยมีความพร้อมเพื่อการเกษียณอยู่ในระดับปานกลาง และสูงกว่าปี 2564 ที่มีคะแนน 48.4 แต่หากดูแยกระหว่าง F-RRI และ Q-RRI จะพบว่า Q-RRI อยู่ในระดับสูง หรือมีค่าอยู่ที่ 60.2 คะแนนเพิ่มจากปี 2564 ที่อยู่ที่ 58.1 คะแนน เนื่องจากประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ขณะที่ F-RRI ยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง หรือมีคะแนนอยู่ที่ 38.4 คะแนน ใกล้เคียงปี 2564 อีกปัญหาที่เราพบพร้อมกันคือหนี้สินของคน GEN X และ Y มีจำนวนมาก

จากผลการวิจัยทำให้เห็นว่าคนไทยยังออมเงินไม่พอ เป็นแรงผลักดันให้คณะผู้วิจัยต้องการให้ NRRI เป็นเครื่องมือให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้เป็นข้อมูลในการกำหนด และวางมาตรการส่งเสริมการออม ทำให้คนไทยมีทักษะด้านการจัดการเงินไม่ใช่เพียงแค่การรอบรู้เท่านั้น แต่ต้องนำไปสู่การปรับพฤติกรรมด้วย ซึ่งการส่งเสริมการออมนั้นจะต้องมีแนวทางที่แตกต่างของคนแต่ละกลุ่มวัย ในส่วนของวัยผู้ใหญ่ จะต้องเน้นทักษะการจัดการปัญหาหนี้สินเป็นหลัก เพื่อลดปัญหาหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่กลุ่มเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่ากังวล เพราะมีหนี้เร็ว และนานขึ้น เพราะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ทำให้การออมเพื่อเกษียณถูกบั่นทอน และส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต ดังนั้นกลุ่มนี้ต้องเน้นมาตรการเชิงป้องกัน โดยสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรการเงินส่วนบุคคลในโรงเรียน และสถาบันการศึกษา แต่ต้องปรับโจทย์ใหม่มุ่งไปที่กระตุ้นการออมโดยตรง รวมถึงต้องให้ทักษะด้านดิจิทัลไปพร้อมกัน ซึ่งทุกภาคส่วนจำเป็นต้องช่วยกันออกแบบ รวมถึงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วย เพราะเข้าใจภาวะปัจจุบันของกลุ่มรากหญ้า ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางได้อย่างดี

รองศาสตราจารย์ ดร.อนิรุต พิเสฎฐศลาศัย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการเงินและบัญชี อาจารย์ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลตัวเลขรายได้หลังเกษียณที่จะทำให้ประชาชนมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนเพียงพอ ต้องอยู่ระหว่าง 15,000-25,000 บาท ซึ่งพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากที่ไม่มีรายได้ถึง แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมก็มีรายได้หลังเกษียณเพียง 3,500-7,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน คือ การเพิ่มการรอบรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) รวมถึงสุขภาพ (Health Literacy ) เพื่อนำไปสู่การวางแผนจัดการด้านการเงินส่วนบุคคลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางซึ่งน่ากังวลมากที่สุดที่มีทั้ง F-RRI และQ-RRI ในระดับต่ำ ได้แก่ กลุ่มอาชีพอิสระ ลูกจ้าง และคนทำงานรับจ้าง อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง อายุระหว่าง 18-29 ปี ขณะที่กลุ่มคนที่มีความพร้อมสูง ได้แก่ เจ้าของกิจการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ

คุณอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบันมีคนไทย 1 ใน 4 ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปยังมีหนี้สิน นั่นหมายถึงรายได้หายด้วย และมีภาระหนี้ด้วย โดยมีหนี้ในระบบต่อคนประมาณ 4 แสนบาท ไม่นับรวมหนี้นอกระบบของกลุ่มชายขอบ และการกู้เกินของข้าราชการ โดยเฉพาะกลุ่มครู

โดยเฉลี่ยในวันนี้มีประชาชนเพียง 15.7% เท่านั้นที่วางแผนเกษียณ และทำได้ตามแผนที่วางไว้ ขณะที่ 17.5% ไม่ได้คิดวางแผน ส่วนกลุ่ม GEN X ซึ่งอีก 3-17 ปีจะถึงวัยเกษียณมีสัดส่วนเพียง 13.3% ที่วางแผนและทำตามแผน ส่วน GEN Y ซึ่งอีก 18-37 ปีจะถึงวัยเกษียณ มีเพียง 21.1% ที่วางแผน ดังนั้นจึงมีคนไทยกว่า 37.1% ที่จะขาดรายได้กะทันหันหรืออยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือนหากเกิดเหตุฉุกเฉิน แนวทางที่ต้องทำไปพร้อมกันคือการส่งเสริมให้ประชาชนมีเงินออกเผื่อฉุกเฉินที่เหมาะสมซี่งจะช่วยส่งเสริมให้บุคคลสามารถออมเพื่อเกษียณได้ทางหนึ่ง

ทางด้านนางสุขมีนา ภาสะวณิช ผู้อำนวยการกองนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่ามีประชาชน 11.53 ล้านคนที่มีสวัสดิการชราภาพในช่วงเกษียณอายุซึ่งรัฐจัดให้ฝ่ายเดียว หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาทต่อเดือน ส่วนที่ได้สวัสดิการขั้นพื้นฐานได้รับจากกองทุนประกันสังคม จำนวน 13.6 ล้านคน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือประชาชนจำนวนมากมีเงินออมไม่พอหลังเกษียณ แนวทางที่ภาครัฐกำลังดำเนินการเป็นการเร่งวางมาตรการให้ประชาชนมีทักษะจัดการด้านกาเงิน โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบการดำเนินงาน 5 ปี เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเงินให้กับประชาชน รวมถึงตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ หรือ กบช.เป็นกองทุนภาคบังคับเพื่อให้คนไทยมีเงินออมที่เพียงพอต่อการเกษียณ โดยมีนายจ้างเป็นผู้ช่วยสมทบอัตราเงินสะสมและสมทบทยอยเพิ่มถึง 10% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอกฎหมาย

ส่วนนางจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้ข้อมูลว่า กอช.มีสมาชิก 2.4 ล้านคน ยังมีประชาชนอีกหลายล้านคนที่ยังไม่มีสวัสดิการในช่วงเกษียณ ปัจจุบันกอช.ได้จับมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้คนไทยออมกับกอช.มากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา เพราะตามคุณสมบัติแล้วสามารถออมได้ตั้งแต่อายุ 15-60 ปี เริ่มต้น 50 บาทต่อครั้ง หลายปีที่ผ่านมาได้เข้าไปทำงานกับสถาบันการศึกษาเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนนักศึกษาสมัครเป็นสมาชิกและเริ่มต้นการออมตั้งแต่วัยเรียนเตรียมพร้อมในช่วงเกษียณ แม้ว่าในระหว่างทำงานจะขาดคุณสมบัติ ทำให้ต้องหยุดออมกับกอช.แต่ก็ยังคงมีเงินสะสมในกองทุนฯที่สามารถนำมาใช้ช่วงเกษียณ

ในช่วงของการเสวนาหัวข้อ “ทักษะทางการเงินและทักษะทางดิจิทัลของคนไทย” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาการเงินและการธนาคาร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โลกยุคดิจิทัลทำให้เกิดดาบ 2 คม คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แต่ก็ทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้นด้วยแม้หนี้นอกระบบจะทำงานยากขึ้น แต่ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สินรวมเพิ่ม ทั้งหนี้สถาบันหลัก ระบบสหกรณ์ และหนี้ส่วนบุคคล หนี้สินครัวเรือนของคนไทยจึงพุ่งสูง สาเหตุหลักเราพบว่าคนไทยยังขาดทัศนคติด้านการเงินที่เหมาะสม และขาดการรอบรู้เรื่องดิจิทัล ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องเร่งสร้างทักษะด้านการเงินและดิจิทัลไปพร้อมกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงช่องทางใหม่ๆในการออม ทางด้านดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มีประชาชนอีกกลุ่มที่เข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต และไม่มีทักษะด้านการเงิน กลุ่มนี้จะตกไปข้างหลังไกล ดังนั้นเราต้องช่วยกันให้ประชาชนรอบรู้ด้านการเงินให้มากพอ โดยออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับคนแต่ละกลุ่มวัย ในส่วนของเด็กและเยาวชนต้องไม่ใช่การเล็คเชอร์ในห้องเรียน แต่เป็นลักษณะการฝึกอบรม ขณะเดียวกันก็ออกแบบให้ผสมผสานการเรียนรู้ข้ามรุ่น เช่น นำเด็กเยาวชนไปสอนผู้ใหญ่เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน