สังเกตก่อนสาย! 8 สีปัสสาวะ สัญญาณเตือนโรค บอกปัญหาสุขภาพ แนะเกิดจากสาเหตุอะไร ไม่ใช่เพียงอาหารและการดื่มน้ำ

แม้ภายนอกร่างกายอาจดูมีสุขภาพแข็งแรงตามปกติ แต่คุณเคยหยุดดูสีของปัสสาวะหรือไม่? ความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายสามารถสะท้อนให้เห็นผ่าน “สีของปัสสาวะ” ได้ ดังนั้น การสังเกตสีปัสสาวะของตนเองเป็นหนึ่งในวิธีแรก ๆ ในการตรวจสุขภาพด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน

โดยทั่วไป ปัสสาวะมักจะมีสีเหลืองอ่อนและโปร่งใสเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ยิ่งดื่มน้ำมากเท่าไร ปัสสาวะก็จะยิ่งใสมากขึ้นเท่านั้น ทว่าหากดื่มน้ำมาก ๆ แต่ปัสสาวะยังคงเป็นสีเหลืองขุ่น หรือหากไม่ได้ดื่มน้ำมากแต่ปัสสาวะยังคงเป็นสีขาวใส อาจเป็นสัญญาณว่ากำลังประสบปัญหาสุขภาพอยู่

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะเผยอาหาร ยา และอาหารเสริมวิตามินบางชนิดอาจเปลี่ยนสีปัสสาวะแม้ว่าจะได้รับน้ำเพียงพอก็ตาม แต่ต้องระวังสีปัสสาวะอาจเป็นสัญญาณเตือนโรค รวมถึงสัญญาณของภาวะขาดน้ำ โดยแบ่งสีของปัสสาวะออกเป็น 8 สี

1. ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม โดยทั่วไปสีของปัสสาวะปกติจะใกล้เคียงกับสีเหลืองอ่อน หากเป็นสีเหลืองเข้ม สีเหลืองอำพันหรือสีน้ำผึ้ง หรือแม้แต่สีส้มเข้ม สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ นอกจากปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นแล้วสัญญาณอื่น ๆ ของภาวะขาดน้ำยังอาจรวมถึงความเหนื่อยล้า, หนาวสั่น, ปวดศีรษะ, กลิ่นปาก ความอยากน้ำตาล หรือปวดกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ ยาบางชนิดอาจทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มขึ้น เช่น ฟีนาโซไพริดีน ซึ่งมักใช้รักษาอาการปวดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI), ไอโซไนอาซิด, ซัลฟาซาลาซีน, วิตามินบีรวม และแคโรทีน

2. ปัสสาวะสีโปร่งใสหรือไม่มีสี หมายถึงร่างกายได้รับของเหลวเกินปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันส่งผลให้ระดับวิตามินในร่างกายลดลง ซึ่งหลาย ๆ คนคิดว่ายิ่งปัสสาวะมีสีอ่อนลงก็ยิ่งดี หากปัสสาวะไม่มีสีเป็นครั้งคราวแสดงว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง

แต่หากปัสสาวะสีใสเป็นประจำมากเกินไป อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน เบาจืด และโรคไต หรือจากการรับประทานยาขับปัสสาวะ

3. ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้ม เมื่อปัสสาวะปรากฏเป็นสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับสีชาหรือสีโคล่า อาจได้รับผลกระทบจากอาหาร เช่น ถั่วปากอ้า, รูบาร์บ, ว่านหางจระเข้ และอาหารอื่น ๆ แต่ระวังหากไม่ได้ทานอาหารเหล่านี้ ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้มอาจแสดงถึงภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง อาจเกิดจากโรคไตอักเสบเฉียบพลัน โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก และความผิดปกติของตับ เช่น โรคตับแข็งหรือไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน

นอกจากนี้ ผู้ที่มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนังควรจับตาดู หากปัสสาวะของ [ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง] เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อาจบ่งบอกถึงการมีเมลานินซึ่งสัมพันธ์กับการลุกลามของมะเร็ง ดร. โนวาโควิชอธิบาย

4. ปัสสาวะน้ำนมขาว มักเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น ท่อปัสสาวะอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, วัณโรคไต, กรวยไตอักเสบ รวมถึงภาวะคีลูเรียหรือโปรตีนส่วนเกินในร่างกาย หากมีอาการร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะผิดปกติ, ปวดหลังส่วนล่าง และมีไข้ เป็นต้น มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะขั้นรุนแรง

5. ปัสสาวะสีแดงหรือสีชมพู โดยสาเหตุของปัสสาวะสีแดงหรือสีชมพูเกิดจากการทานแก้วมังกร, บีทรูท, บลูเบอร์รี่ และอาหารอื่น ๆ ที่สีแดงและสีม่วง ถ้าไม่ทานอาหารที่มีสีแดงหรือสีม่วงอาจเป็นภาวะที่เรียกว่า “ปัสสาวะเป็นเลือด” ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากไต , นิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือไต, ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เนื้องอก รวมถึงพิษจากตะกั่วและสารปรอท เป็นต้น

6. ปัสสาวะสีดำ มักเกิดจากเม็ดสีน้ำดี เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดตีบตันเฉียบพลัน มาลาเรียฟัลซิพารัม และโรคตับจะขับปัสสาวะสีดำออกมา นอกจากนี้ ปัสสาวะสีดำยังจะปรากฏในกรณีที่เป็นพิษจากฟีนอล มะเร็งผิวหนัง และภาวะกรดอัลแคปติก

7.ปัสสาวะสีน้ำเงิน สีฟ้า หรือสีเขียว แม้เป็นสีปัสสาวะที่ดูน่ากลัว แต่เป็นเพียงสีจากการทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ซึมเศร้า สารยับยั้งไซเมทิดีน และยาต้านการอักเสบ รวมถึงอาจเป็นผลมาจากบิลิรูบินหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งจำนวนมากอาจทำให้ปัสสาวะมีสีเขียวและมีกลิ่นเฉพาะตัว

อย่างไรก็ตาม สีปัสสาวะดังกล่าวอาจมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและอาจเป็นสัญญาณของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในครอบครัวหรือกลุ่มอาการผ้าอ้อมสีน้ำเงิน

8. ปัสสาวะสีม่วง เป็นสีปัสสาวะที่พบไม่บ่อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีจริง โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า โรคถุงปัสสาวะสีม่วงหรืออาการปัสสาวะในถุงเป็นสีม่วง (Purple urine bag syndrome) มักพบในผู้ป่วยสูงอายุที่ใส่สายสวนปัสสาวะติดต่อกันเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ นพ. หลิน เสวียนเหริน นักโรคไตยังได้เพิ่มวิธีการสังเกตปัสสาวะอีกสองวิธีเพื่อเตือนให้สาธารณชนให้ความสนใจกับการสังเกตปัสสาวะ

กลิ่นปัสสาวะ

  • กลิ่นปัสสาวะ: ปกติ
  • กลิ่นแอมโมเนียฉุนมาก คือ ดื่มน้ำน้อยเกินไป กลั้นปัสสาวะ ติดเชื้อ
  • กลิ่นความหวานจากผลไม้: โรคเบาหวาน
  • กลิ่นคาว: การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ฟองปัสสาวะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ คลิก )

  • ฟองปัสสาวะที่ไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ: ส่วนใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว มีขนาดต่างกัน และสลายไปอย่างรวดเร็ว
  • โปรตีนในปัสสาวะ: ฟองเล็ก ๆ หนาแน่นที่คงอยู่นานกว่า 10 นาที

ขอบคุณที่มาจาก Health Ettoday Bumrungrad

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน