จากเหตุการณ์ฟุตบอลโลก รอบแรก นัดสุดท้าย กลุ่ม เอช ซึ่ง เซเนกัล พลาดท่าพ่าย โคลัมเบีย 0-1 ทำให้มี 4 คะแนน จากผลงานชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 เท่ากับญี่ปุ่นพอดีเป๊ะ หนำซ้ำการนับเฮด ทู เฮด ทั้งสองทีมยังเสมอกันที่ 2-2 ทำให้ต้องตัดสินกันลงไปถึงรายละเอียดยิบย่อยที่สุด คือการนับคะแนน ฟีฟ่าแฟร์เพลย์

โดยคะแนนแฟร์เพลย์จะคิดจาก ได้ใบเหลือง 1 ใบ เท่ากับ -1 คะแนน ได้สองใบเหลืองเป็น 1 ใบแดง เท่ากับ -3 คะแนน ส่วนใบแดงโดยตรง 1 ใบ เท่ากับ -4 คะแนน ขณะที่ได้ใบเหลืองเตือน แล้วโดนใบแดงโดยตรง จะนับเป็น -5 คะแนน

REUTERS/Marcos Brindicci

สำหรับทีมชาติ ญี่ปุ่น มีใบเหลือง 4 ใบ จากเอจิ คาวาชิมะ, ทากาชิ อินุอิ, มาโกโตะ ฮาเซเบะ และ โทโมอากิ มากิโนะ คนละใบ

ส่วนเซเนกัล มีใบเหลือง 6 ใบ ซาลีฟ ซาเน่, อิดริสซา กานา อีก 3 ใบจาก เอ็มบาย เนียง, ยุสซุฟ ซาบาลี, ชีค เอ็นดอย จากเกมที่พบกับญี่ปุ่นทั้ง 3 คน และอีกใบจากเอ็มบาย เนียง ในเกมส่งท้ายกับโคลัมเบีย

REUTERS/Toru Hanai

นั่นเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ญี่ปุ่นได้เข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เอช ส่วนเซเนกัล ต้องกระเด็นตกรอบไปอย่างเจ็บแสบที่สุด ด้วยการนับคะแนนแฟร์เพลย์ ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

นอกจากนี้ยังเป็นผลให้ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลกครั้งนี้ไม่มีชาติจากแอฟริกาผ่านเข้าไปเล่นเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี นับตั้งแต่ปี 1982

ทั้งนี้หากกรณีที่ทั้งเซเนกัล และ ญี่ปุ่น ยังมีคะแนนฟีฟา แฟร์เพลย์เท่ากันอีก จะต้องไปตัดสินกันด้วยวิธีจับสลาก ซึ่งเคยเกิดขึ้นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ เมื่อปี 1990 ซึ่งครั้งนั้น ไอร์แลนด์ และ เนเธอร์แลนด์ แต้มเท่า ผลต่างเท่ากันทุกอย่าง ต้องจับสลากเพื่อชิงเป็นอันดับ 2 ของสาย โดยไอร์แลนด์ได้สิทธิ์ไป ส่วนเนเธอร์แลนด์ ไปลุ้นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด ซึ่งเนเธอร์แลนด์ ยังโชคดีที่ได้ตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน