เจ้าของโลโก้ดาวสามแฉก ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์’ (Mercedes-Benz) เป็นรถขายดีของโลกด้วยจุดเด่นของการเป็นนวัตกรรมทางด้านวิศวกรรม สมรรถนะ เทคโนโลยีความปลอดภัย และการบริการที่เป็นเลิศ โดยสร้างประวัติศาสตร์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานถึงกว่า 5 ทศวรรษ มีดีลเลอร์ที่มีชื่อเสียงของไทยนำเข้าตั้งแต่ยุคแรก ๆ ขึ้นทำเนียบแชมป์รถหรูครองใจเศรษฐีไทยมาหลายปี รวมถึงในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2021 ที่เพิ่งจบไปเมื่อเร็วๆ นี้ เบียดยอดขายคู่แข่งได้ถึงเกือบเท่าตัว เรียกว่าสมศักดิ์ศรี “ที่สุดของยนตรกรรมจากประเทศเยอรมนี” ภายใต้การผลิตที่ได้มาตรฐานระดับโลกเช่นเดียวกับบริษัทแม่ที่เยอรมนี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มีการวางพื้นฐานด้านการพัฒนาบุคลากรมืออาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน

 

และในปี 2564 นี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ขึ้นแท่นได้รับรางวัล “บริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชีย” จาก HR Asia ด้วยคะแนนผลสำรวจในระดับสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยมาตรฐานจากบริษัทฯ ที่เข้าร่วมกว่า 260 บริษัทฯ ใน(ประเทศไทย) ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจยานยนต์เพียงบริษัทเดียวที่ได้รับรางวัลนี้

 

 

คุณลักขณา สุขทอง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) อธิบายว่า “บริษัทฯ เชื่อมั่นในคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ และคุณค่านั้นเกิดจากการทำงานที่เปิดรับมุมมองและความคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อก่อให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงยังส่งพลังบวกซึ่งกันและกันในทุกๆ วัน ไม่เลือกปฏิบัติ มีการสื่อสารที่ชัดเจน โปร่งใสผ่านช่องทางที่หลากหลายโดยปราศจากลำดับขั้นของตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่บริษัทสนับสนุนการมีส่วนร่วมและการปลูกฝังวัฒนธรรมการยอมรับความหลากหลาย (Diversity & Inclusion) ถือเป็นพันธสัญญาหลักสำหรับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจเรามุ่งเน้นในการพัฒนาบุคลากรและเตรียมเสริมสร้างศักยภาพที่จำเป็นต้องมีเพื่อเตรียมพร้อม สำหรับแผนธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และเป็นแรงผลักดันให้บริษัทก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยความสำเร็จแบบยั่งยืน”

พนักงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มีทางเลือกที่หลากหลายด้านชีวิตการทำงาน เพื่อให้การทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นองค์กรแรกๆ ใน(ประเทศไทย)ที่เริ่มต้นกำหนดนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Working Arrangement) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ เพื่อเอื้อต่อความจำเป็นส่วนบุคคลของพนักงานแต่ละคน

นอกจากนี้บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังเป็นหนึ่งในองค์กรที่เป็นผู้นำด้านการกำหนดนโยบาย Hybrid Working ซึ่งเป็นการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากออฟฟิศและบ้าน หรือจากที่ไหนก็ได้ แทนที่การทำงานในสำนักงานเพียงอย่างเดียว โดยที่ 70% ของพนักงานทั้งหมด อยู่ในกลุ่ม Hybrid Working เพื่อให้อิสระกับพนักงานได้มีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น และเกิดประสิทธิผลสูงที่สุด

นอกจากนี้พื้นที่การทำงานของบุคลากรที่บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีการออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานที่ดีเยี่ยม ภายใต้แนวคิดสถานที่ทำงานที่น่าร่วมงานด้วยที่สุด (Great Place to Work) รวมถึงมีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนความเอาใจใส่และมอบคุณค่าที่ดีให้แก่พนักงาน

อีกหัวใจหลักของการดำเนินงานคือความมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสาธารณประโยชน์ ภายใต้สามแกนหลัก “ความยั่งยืน ความเสมอภาคทางสังคม และการศึกษา” ส่วนหนึ่งของการให้ความสำคัญด้านการศึกษา เนื่องจากผู้บริหารเล็งเห็นถึงพลังของเยาวชนที่มีคุณภาพจะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมไทยในอนาคต จึงได้มีกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อคืนประโยชน์ให้แก่เยาวชนไทยอย่างสม่ำเสมอ

ในปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง และจะเป็นการก้าวสู่ปีที่ 24 ของการเป็นผู้ผลิตและนำเข้าอย่างเป็นทางการในไทย ชาวเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ทุกคนพร้อมแล้ว ที่จะรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อรักษา “แชมป์” หรือความเป็นผู้นำของแบรนด์ยนตรกรรมยุโรปที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทยต่อไป


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน