พระอริยเวที วัดสุทธจินดา : อริยะโลกที่ 6
คอลัมน์ – อริยะโลกที่ 6
อริยะโลกที่ 6 – “พระอริยเวที” หรือ หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล เป็นพระเถระผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่ประจักษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา อดีตเจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา
หลวงปู่เขียน เป็นพระเถราจารย์ ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่น่าเคารพสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์
อีกทั้ง เป็นสหธรรมิกกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฒโน) และ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก
มีนามเดิมว่า เขียน ภูสาหัส เกิดเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2456 ที่บ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์
เข้าพิธีบรรพชา เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2470 ที่วัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา
ครั้นเมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2477 มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระโพธิวงศาจารย์ (สังข์ทอง นาควโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระญาณดิลก (พิมพ์ ธัมมธโร) เป็นพระอนุสา วนาจารย์
พ.ศ.2485 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในสังกัดสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
ลำดับงานคณะสงฆ์ พ.ศ.2478-2481 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดสุทธจินดา และวัดศาลาทอง จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ.2482 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร และสำนักเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์
พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสังฆสภา
พ.ศ.2490 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา
พ.ศ.2494 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2490 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระอริยเวที”
เข้ากราบฟังธรรม ปฏิบัติธรรมในสำนักของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากที่จบเปรียญธรรม 9 ประโยคใหม่ โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) นำไปฝาก
ทั้งนี้ เพื่อประสงค์ให้ท่านได้เป็นศาสนทายาทที่มีความหนักแน่นมั่นคง ทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุสามเณรในภายภาคหน้าเมื่อได้ฟังธรรม และรับคำแนะนำในการปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้ว จึงได้ออกเดินธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาลำเนาไพรในจังหวัดต่างๆ จนออกไปถึงประเทศลาว และแวะเวียนมากราบฟังธรรมเป็นระยะๆ
ด้วยผลานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมจากสำนักของท่านพระอาจารย์มั่น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิปัสสนาธุระของประเทศไทย โดยเมื่อครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น กัณฑ์แรกเรื่อง “โทษของการเกิด” และกัณฑ์ที่สองเรื่อง “มุตโตทัย” (ธรรมะเป็นเครื่องพ้น) หลวงปู่เขียน ถึงกับลุกจากที่นั่งไปกราบพระอาจารย์มั่น พร้อมกล่าวคำปฏิญาณตนอย่างเด็ดเดี่ยวต่อหน้าพระอาจารย์มั่นเป็นภาษาบาลีว่า
“สาสเน อุรํ ทตฺวา ขอมอบกายถวายชีวิตทั้งหมดนี้แก่พระพุทธศาสนา ชีวิตทั้งชีวิตนี้ขอมอบไว้ในพระศาสนา ขอให้ท่านพระอาจารย์โปรดเป็นสักขีพยานด้วยเถิด”
จากนั้นตราบจนสิ้นอายุขัย หลวงปู่เขียนได้กระทำสัจวาจานั้นให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย ถึงความเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ผู้บริสุทธิ์หมดจดงดงามในธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
ทั้งอุทิศตน ทั้งบำเพ็ญปฏิบัติทางด้านประโยชน์ให้แก่ทางด้านพระพุทธศาสนาไม่น้อย ทั้งด้านการศึกษา ทางด้านการปกครอง ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ต่อมาได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดสุทธจินดา ท่านได้บริหารวัด ช่วยสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับวัด ทั้งตั้งเป้าหมายสูง มีระเบียบกับสามเณรและภิกษุสงฆ์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีการคัดเลือกหมู่คณะ ให้ไปรับการอบรมเป็นนักเรียนครู และนักเรียนการปกครอง ที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อให้กลับมาเป็นบุคลากรบริหารวัดช่วยเจ้าอาวาส
อนุสรณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านได้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิ “สุทธจินดาราชสีมามูลนิธิ”
ต่อมา ได้ลาออกจากตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา และตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา แล้วออกธุดงค์กัมมัฏฐานอย่างจริงจังอยู่ในป่าในถ้ำ จนเป็นที่พอแก่กาลแล้ว จึงกลับมาสู่มาตุภูมิและสร้างวัดรังสีปาลิวันในปัจจุบัน เพื่อนำพระภิกษุสามเณร ประชาชนศึกษาธรรมและประพฤติธรรมจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ละสังขาร เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2547 สิริอายุ 90 ปี พรรษา 68
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :