“บิ๊กนุ้ย”พล.ร.อ. นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์การฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2561 ที่สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งการตรวจเยี่ยมการฝึกของผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะในวันนี้

นอกจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ได้รับทราบรายละเอียดการปฏิบัติในการฝึก และทราบถึงขีดความสามารถ ตลอดจนความพร้อมในการปฏิบัติการของหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ารับการฝึกแล้ว ยังเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เข้ารับการฝึก

โดยภายหลังสังเกตการณ์การฝึก ผู้บัญชาการทหารเรือ และ นางเกสรา ประทุมสุวรรณ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ ตลอดคณะกรรมการบริหารสมาคมภริยาทหารเรือ จะเดินทางไปเยี่ยมบำรุงขวัญให้แก่กำลังพล ในสังกัดหน่วยงานกองทัพเรือในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการกองกันชายแดนจันทบุรีและตราด จำนวน 37 หน่วย ที่ค่ายตากสิน อ.เมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี พร้อมทั้งชมการปฏิบัติการของทหารพรานหญิงนาวิกโยธิน

สำหรับการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2561 โดยเป็นการฝึกร่วมกันของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพเรือ ประกอบด้วย กองพลนาวิกโยธิน
หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวมถึงกำลังกองทัพบก ซึ่งจัดจากกองพันทหารม้าที่ 2 กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จังหวัดปราจีนบุรี ทำการฝึกระหว่างวันที่ 27 เมษายน 2561 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2561

วัตถุประสงค์เพื่อ ทดสอบการปฏิบัติทางยุทธวิธีทหารราบยานเกราะ ทดสอบการปฏิบัติการร่วมของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) และกองทัพบก (ทบ.) และการปฏิบัติการร่วมของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ทดสอบการปฏิบัติการยุทธส่งทางอากาศและการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ ทดสอบการปฏิบัติการสนับสนุนการช่วยรบและส่งกลับสายแพทย์ ทดสอบความพร้อมของยุทธวิธีทหารนาวิกโยธินในการรบตามแบบ

การจัดกำลังที่เข้าร่วมการฝึกนั้น ในส่วนของกองทัพเรือ ประกอบด้วย รถเกราะล้อยาง BTR – 3E1 จำนวน 6 คัน , ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก AAV จำนวน 4 คัน , รถหุ้มเกราะติดอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถังขนาดหนัก : HMMWV จำนวน 6 คัน , ปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ปืนใหญ่ขนาด 105 มิลลิเมตร จำนวน 2 กระบอก เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง (ฮ.ลล.) แบบ BELL 212 และ EC 645 รวม 4 เครื่อง และกำลังจากกองทัพบก

ประกอบด้วย กำลัง 1 กองร้อยทหารราบ พร้อมรถเกราะล้อยาง แบบ BTR – 3E1 จำนวน 8 คัน และรถถังแบบ OPLOT จำนวน 5 คัน โดยได้สมมุติสถานการณ์ให้กองกำลังนาวิกโยธินทำการรบตรึงกำลังบริเวณแนวชายแดน และขอกำลังทางบกจากกองทัพบกเข้าสนับสนุนการเข้าตี รวมทั้งการใช้ปืนใหญ่ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ยิงสนับสนุนกำลังทางบก

สำหรับการฝึกการดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ตามหลักนิยมของการรบนั้น จะมีการใช้กำลังจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่เรียกว่า “ชุดนำทาง” ทำการแทรกซึมทางอากาศ เข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการที่ลึกเข้าไปในพื้นที่ยึดครองของข้าศึก โดยปกตินั้นจะแทรกซึมในขณะที่ทัศนวิสัยจำกัด เช่น ในเวลากลางคืน สำหรับการสาธิตในวันนี้จะเป็นการจำลองเหตุการณ์เพื่อให้ท่านผู้มีเกียรติได้มองเห็นภาพการปฏิบัติได้ชัดเจนมากขึ้น

ชุดนำทางจำนวน 6 นาย จากกองพันลาดตระเวน ทำการแทรกซึมทางอากาศโดยการโดดร่มแบบ HALO ที่ความสูง 6,000 ฟิต และทำการเปิดร่มที่ความสูง 3,000 ฟิต เคลื่อนที่โดยเครื่องบินลำเลียงแบบ Bell 212 จากกองการบินทหารเรือ ทำการแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการเพื่อทำการยึดภูมิประเทศสำคัญที่สามารถเป็นฐานยิง พร้อมแจ้งข้อมูลข่าวสารตามที่ได้รับมอบไปยังหน่วยเหนือเช่น ที่ตั้งของสถานที่สำคัญ คลังสนับสนุน เพื่อให้หน่วยเหนือวางแผนในการโจมตีต่อไป

โดยหลังจากที่ชุดนำทางได้แทรกซึมเข้าพื้นที่ ได้เข้าวางตัวในพื้นที่สูงข่ม เพื่อทำการเฝ้าตรวจ และต่อต้านการซุ่มยิงจากพลซุ่มยิงของฝ่ายข้าศึก พร้อมทั้งทำการยิงทำลายเป้าหมายสำคัญ เช่น ผู้นำของฝ่ายข้าศึก คลังน้ำมันเชื้อเพลิง คลังอมภัณฑ์ โดยใช้ปืนซุ่มยิงขนาด .50 นิ้ว (พลซุ่มยิง ยิงถังน้ำมัน)

จากนั้นกำลังภาคพื้นดินหรือส่วนดำเนินกลยุทธ์ จะเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมายนั้น จะต้องลดระดับการต้านทานของข้าศึกให้เหลือน้อยที่สุด โดยการโจมตีทางอากาศ การยิงทำลายด้วยปืนใหญ่สนามและอาวุธสนับสนุนต่าง ๆ

สำหรับอาวุธสนับสนุนซึ่งประกอบด้วยปืนใหญ่สนามขนาด 155 มิลลิเมตร ซึ่งตั้งยิงอยู่ในระยะ 7 กิโลเมตรจากตำบลกระสุนตก และปืนใหญ่สนามขนาด 105 มิลลิเมตร ซึ่งตั้งยิงอยู่ในระยะ 3 กิโลเมตร จากตำบลกระสุนตก ร่วมกับปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 40/60 มิลลิเมตร และเครื่องยิงลูกระเบิดหนักขนาด 120 มิลลิเมตร ซึ่งตั้งอยู่ในระยะ 3 กิโลเมตร และอาวุธสนับสนุนในอัตราของกองพันทหารราบ ซึ่งมีทั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 81 มิลลิเมตร และเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 60 มิลลิเมตรระดมยิงไปยังที่หมายเช่นเดียวกัน(monitor)

ในขณะที่อาวุธสนับสนุนได้ระดมยิงไปยังเป้าหมายฝ่ายข้าศึกอย่าหนาแน่นนั้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่กำลังในส่วนของส่วนเข้าตีหลักซึ่งอยู่ทางด้านซ้าย และส่วนเข้าตีสนับสนุนซึ่งอยู่ทางด้านขวาเคลื่อนที่จากที่รวมพลเพื่อผ่านแนวออกตี

ขณะที่ส่วนเข้าตีหลักทางด้านปีกซ้าย ซึ่งเป็นกองร้อยทหารราบยานเกราะจากกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เคลื่อนที่ด้วยยานเกราะล้อยาง BTR -3E1 จำนวน 8 คัน สมทบด้วย 1 หมวดรถถัง จำนวน 4 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 2 กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เคลื่อนที่ผ่านแนวออกตี

ทางด้านปีกขวา ส่วนเข้าตีสนับสนุน ซึ่งเป็นกองร้อยทหารราบยานเกราะจากกองพลนาวิกโยธิน จัดกำลังจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 เคลื่อนที่ด้วยยานเกราะล้อยาง BTR-3E1จำนวน 6 คัน จากกองพันรถถัง รถสะเทินน้ำสะเทินบก จำนวน 4 คันจากกองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก เคลื่อนที่ผ่านแนวออกตี (รถถังยิง 1 นัด)

โดยมีอาวุธประจำรถของรถสะเทินน้ำสะเทินบกนั้นเป็นปืนกลขนาด .50 นิ้ว สามารถลำเลียงพลได้จำนวน 18 นาย ในส่วนของยานเกราะล้อยาง BTR – 3E1 นั้นประกอบด้วยจรวดต่อสู้รถถัง แบริเออร์ ปืนกลร่วมแกนขนาด 7.62 นิ้ว และปืนกลแบบ ZGM ขนาด 30 มิลลิเมตร สามารถลำเลียงพลได้ 11 นาย (monitor)

ในขณะที่ส่วนเข้าตีกำลังเคลื่อนที่ ดำเนินกลยุทธ์เข้าสู่ที่หมายนั้น อาวุธยิงสนับสนุนยังคงยิงทำลายที่หมายอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ส่วนเข้าตีทั้ง 2 ส่วน กำลังดำเนินกลยุทธ์เข้าสู่ที่หมายโดยใช้หลักยุทธวิธีการยิงประกอบการเคลื่อนที่ สลับกันเป็นฐานยิง(monitor)

ส่วนทหารราบยานเกราะได้ดำเนินกลยุทธ์ มาถึงจุดคับขัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับรูปขบวนในการเคลื่อนที่ ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้อาวุธ และเป็นเวลาเดียวกันที่มีการตรวจพบเป้าหมายข้าศึก จึงมีการร้องขอการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่สนาม โดยเรียกการยิงสนับสนุนในลักษณะนี้ว่า “การยิงตามคำขอ” (monitor)

ทางด้านซ้ามีปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 40/60 มิลลิเมตร เอ็ม 1 ซึ่งมีอัตรายิง 120 นัดต่อนาที ระยะยิงหวังผลทางพื้นดิน 2,700 เมตร ทางอากาศ 1,800 เมตร กำลังยิงสนับสนุนทางผิวพื้นในทางปีกให้กับหน่วยดำเนินกลยุทธ์ซึ่งเป็นขีดความสามารถหนึ่งของปืนต่อสู้อากาศยาน ที่สามารถให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี (monitor)

กองร้อยเคลื่อนที่ทางอากาศ จัดกำลังจากกรมทหารราบที่ 1 ซึ่งมีขีดความสามารถในการเข้ายึดที่หมายที่นอกเขตพื้นที่ปฏิบัติการของทหารราบ ด้วยความรวดเร็ว เคลื่อนที่โดยอากาศยานแบบ Bell 212 จำนวน 3 ลำ จากกองการบินทหารเรือ เข้ายึดที่หมายสำคัญทางด้านปีกซ้าย

ทหารราบยานเกาะได้ดำเนินกลยุทธ์มาถึงระยะยิงหวังผลของปืนเล็ก ยานเกราะทุกคันปล่อยทหารราบลงจากรถ วางตัว ปรับรูปขบวน และเตรียมการเข้าตีผ่านที่หมาย ปืนใหญ่สนามทำการเลื่อนฉากการยิง ซึ่งที่มั่นแข็งแรงและกำลังของข้าศึกส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายเนื่องจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน และการยิงทำลายด้วยปืนใหญ่สนาม รวมทั้งอาวุธสนับสนุนประเภทต่างๆ แต่ยังคงมีการต้านทานอยู่บ้างอย่างเบาบาง

ขณะที่พลุช่อสีแดง ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นสัญญาณให้ทราบว่า ทหารราบได้ทำลายข้าศึก
ยึดที่หมาย และเสริมความมั่นคงบริเวณที่หมาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินจัดกำลัง เพื่อเข้ารับการฝึกกองทัพเรือประจำปี 2561 โดยจัดเป็นกำลังผสมเหล่าของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารราบที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ กรมสนับสนุน กองพันลาดตระเวน กองพันทหารช่าง กองพันทหารสื่อสาร กองพันรถถัง กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก

และได้รับการสนับสนุนทหารราบยานเกราะ จากกองทัพบก ได้ปฏิบัติภารกิจเข้าตีและยึดที่หมายเป็นที่เรียบร้อย รอรับคำสั่งเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป การฝึกในวันนี้จึงยุติแต่เพียงเท่านี้ ในลำดับต่อไปขอเรียนเชิญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บังคับบัญชา พบปะแขกผู้มีเกียรติ รับชมการแสดงอาวุธ พร้อมทั้งยิงปืนเล็กสั้น และปืนเล็กยาว เป็นลำดับต่อไปขอบพระคุณครับ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน