ตร.แถลงจับ 3 โจ๋ยิงเด็กช่างกลดับทะลุหมวกกันน็อค รับสารภาพปมขัดแย้งระหว่างซอย ไม่เกี่ยวกับสถาบัน เผยคนตายชักปืนออกมาก่อนเลยต้องยิง จ่อมอบตัวอีก 1 รายร่วมแก๊ง

จากกรณีคนร้าย 2 คนขับขี่รถจยย.ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำเงิน มาจอดหน้าปากซ.ราษฎร์อุทิศ 23 ถ.ราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯก่อนใช้อาวุธปืนยิงนายนพเก้า หรือ แบงค์ สุคนธรัตน์ อายุ 19 ปี นักเรียนโรงเรียนมีนโปลีเทคนิคชั้นปีที่ 3 แผนกช่างยนต์ จนเสียชีวิต เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปนั้น อ่านข่าว วงจรปิดแฉนาที 2คนร้ายไล่ยิง เด็กช่าง ดับสลด! ตร.เช็กประวัติหัวโจก-ตั้ง2ปมฆ่า

คุมตัว 3 โจ๋ยิงเด็กช่างกลสอบสวน

เมื่อเวลา 10.30 น วันที่ 3 ก.ย. ที่ สน.มีนบุรี พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมนึก น้อยคง ผบก.น. 3 พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ, พ.ต.อ.กัญชล อินทราราม, พ.ต.อ.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ์ พ.ต.อ.นพรัตน์ สินมา, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.น.3 พ.ต.อ.ถนัด นักธรรม ผกก.สส.บก.น.3 พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.บก.น.3, ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว 1.นายวิรัตน์ รัศมี หรือ บุก อายุ 19 ปี นักเรียนช่างกลแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนยิง อ่านข่าว ตร.เชื่อเด็กช่างรู้ตัวถูกปองร้ายขี่รถไล่ตาม เร่งล่ามือปืน มุ่งปมขัดแย้งส่วนตัว

แถลงข่าวการจับกุม

โดยกล่าวหาว่า ความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2.นายเขมชาติ อายุ 18 ปี เรียนช่างกลแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ คนชี้เป้า และเคยมีเรื่องกับคนตาย และเป็นคนเอารถไปรับ กลุ่มผู้ต้องหาถูกตั้งข้อหา เป็นผู้ช่วยเหลือให้ผู้อื่นกระทำความผิด 3.นายจิรัฐติกาล หรือ เบน เปรี่ยงการงาน อายุ 19 ปี ถูกตั้งข้อหา เป็นผู้ช่วยเหลือ ให้ผู้อื่นกระทำความผิด และ 4.นายวีระศักดิ์ บุญเพ็ง หรือ จู้ อายุ 19 ปี คนขี่รถจยย. ที่หลบหนีอยู่ ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ของกลาง

โดยสามารถจับกุมพร้อมกับของกลาง อาวุธปืนกล๊อก 26 พร้อมเครื่องกระสุน 16 นัด ปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ ของคนตาย หมวกกันน๊อค 2 ใบ รองเท้า 2 คู่ กางเกงยีนต์สีดำ 1 ตัว รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟ สีแดง ไม่ติดแผ่น ป้ายทะเบียน รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ สี เทาดำ ทะเบียน 6กร2184 กรุงเทพมหานคร เป็นรถที่มารับนายวิรัตน์ ผู้ต้องหาที่1 และ 4 ที่ถนน สุวินทวงศ์ 13 ขณะที่ นายวีระศักดิ์ ที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ยังคงหลบหนีอยู่

พล.ต.ต.สมพงษ์ เปิดเผยว่า ทั้งนี้เรื่องทั้งหมดเป็นความขัดแย้งระหว่าง ซอยราษฎร์อุทิศ 26 ของกลุ่มผู้ต้องหาและ ซอยราษฎร์อุทิศ 23 ที่ผู้ตายและกลุ่มผู้ตายพักอยู่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องสถาบัน

พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า การกระทำของคนร้ายเป็นที่อุกอาจและกระทำในพื้นที่ชุมชน คดีนี้พล.ต.อ.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น.ให้ความสนใจ และสั่งให้ตนมาควบคุมติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งระดมทำงานติดตามมาโดยตลอดจนทราบว่ามีคนร้ายที่ก่อเหตุทั้งหมด 4 ราย

ซึ่งขณะนี้จับได้แล้ว 3 ราย ส่วนอีกรายยังคงหลบหนี ยึดของกลางได้ทั้งอาวุธปืนของคนร้ายและของผู้ตายอย่างละ 1 กระบอก พร้อมเสื้อผ้าและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ

พล.ต.ต.สมนึก กล่าวถึงพฤติการณ์ของคนร้ายว่า ในวันที่ 28 กรกฎาคม เวลา 09.30น. เป็นวันเกิดเหตุซึ่งฝ่ายนายแบงค์ ซึ่งมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนทำท่าจะชักปืนที่เอวออกมา เมื่อพบกับนายบุก ที่ซ้อนจักรยานยนต์สวนมาพบกันและมีการท้าทายกัน ก่อนที่นายแบงค์จะหลบหนีไปยังบ้านเพื่อน ระหว่างทางนายแบงค์ใช้ปืนไทยประดิษฐ์ ที่สามารถบรรจุกระสุนได้ครั้งละนัดยิงสวนไป

ปรากฎว่านายบุกตามมาทันและใช้ปืนกล็อกยิงใส่ผู้ตาย 1 นัด และหลบหนีไปยังจุดนัดพบที่ซอยมิตรไมตรี 30 เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้า โดยมีนายเบน และนายเหยินผู้ต้องหาอีก 2 รายนำรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ มาสับเปลี่ยนกับจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟสีน้ำเงิน เพื่อนำกรอบรถสีน้ำเงินเดิมไปเผาทำลาย กระทั่งท้ายที่สุด ฝ่ายสืบสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุได้ 3 ราย ซึ่งให้การรับสารภาพ แต่ปฏิเสธที่จะทำแผนประกอบคำสารภาพ

พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ กล่าวว่า จากการรับสารภาพกลุ่มผู้ต้องหาบอกว่า เมื่อเห็นข่าวก็นำเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุไปเผาทิ้ง และนำกรอบรถสีน้ำเงินเดิมไปเผาทำลายทิ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรอบสีแดงตามที่ปรากฎ

“ผู้ตายและคนร้ายเคยมีเรื่องบาดหมางมาก่อน ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างกลุ่ม ซอย 23 ของผู้ตาย และซอย 26 ของคนร้าย ซึ่งนายบุกได้ซื้อปืนกล็อกมาติดตัวไว้ในราคา 4 หมื่นบาท ประมาณ 1 เดือน และเคยมีคดีทำร้ายร่างกายติดตัวมาแล้ว” พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ กล่าวและว่า ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนไม่ได้เรียนที่สถาบันเดียวกันกับผู้ตาย ซึ่งขณะนี้ติดตามตัวคนร้ายอีกรายที่กำลังหลบหนีอยู่ และหากสอบสวนเพิ่มเติมก็อาจปรับเพิ่มโทษของผู้ที่สนับสนุนการกระทำผิดเป็นโทษร่วมกันฆ่าอีกด้วย

ขณะที่ นายสมบูรณ์ สุคนธรัตน์ อายุ 55 ปี พ่อของผู้ตาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมาได้ตักเตือนให้ลูกระวังตัวอยู่ตลอดทุกเช้าก่อนไปเรียน ในวันที่เกิดเหตุเพื่อนของลูกบอกให้มารับหน่อย ซึ่งลูกตนเป็นคนรักเพื่อนจึงออกไปรับ จึงเป็นที่มาเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

“ไม่เห็นจะต้องมาตีมาฆ่ากัน ตอนนี้จับคนร้ายได้แล้วก็รู้สึกดีใจ ขอขอบคุณตำรวจสน.มีนบุรีมากๆ ฝากไปยังผู้ก่อเหตุว่าอย่าไปยิงกันเลย พ่อแม่ทุกคนรักและเป็นห่วง อย่าใช้กำลังเลย และฝากไปยังทุกๆ สถาบันและไม่ว่าจะศิษย์เก่าหรือใหม่ก็ให้ช่วยดูแลนักเรียนดีๆ อย่าให้มาก่อเหตุทะเลาะวิวาท สอนเด็กให้ตั้งใจเรียน” นายสมบูรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสถาบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานกับทหาร เพื่อติดตามตรวจค้นอาวุธโดยมีความร่วมมือจากอาจารย์และผู้ปกครองอยู่แล้ว ฝากเตือนถึงผู้ที่คิดจะกระทำว่า แม้จะทำลายหลักฐานอย่างไรก็จะดำเนินการติดตามตัวมาทำตามกฎหมาย

ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่าผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีติดต่อผ่านผู้ปกครองมาจะให้การมอบตัวแล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน