ลูกๆไปทำงานต่างจังหวัด ปล่อยให้พ่อแม่ที่แก่ชราเฝ้าบ้าน ถูกแก๊งต้มตุ๋นมาขอเช่าบ้านพร้อมที่ดินไปจำนอง แต่กลับนำไปขาย ตกลงจ่ายค่าเช่าเดือนละ 20,000 แต่ได้เงินเพียง 60,000 บาท 4 ปีผ่านไปถูกฟ้องขับไล่ที่ พร้อมคำสั่งศาลให้ย้ายออกจากบ้าน แก๊งตุ๋นยังกลับมาขอเอาที่นากว่า 31 ไร่ไปจำนองกว่า 1.35 ล้าน อ้างเอาเงินมาไถ่บ้านคืนให้ สุดท้ายสูญทั้งบ้านทั้งที่นาทำกิน ลูกๆ ทราบเรื่องแทบช็อก พาเข้าร้องทุกข์ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดหาทางช่วย

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นายสูง พิมพ์พันธ์ อายุ 72 ปี และนางแพ พิมพ์พันธ์ อายุ 68 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 42/1 หมู่ที่ 6 บ้านโคกสะอาด ต.หนองยอง อ.ปากคาด จ.บึงกาฬ พร้อมด้วยลูกสาวลูกชาย ทำหนังสื่อยื่นร้องทุกข์กับนายรวมินทร์ ตรีเนตร ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบึงกาฬ ว่าถูกนายทุนฟ้องศาลบังคับให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้าน เนื่องจากบ้านถูกขายไปตั้งแต่เมื่อปี 2555 จึงไร้ที่อยู่ หนำซ้ำที่นาซึ่งปลูกข้าวทำกินอยู่เป็นประจำทุกปีกว่า 31 ไร่ ก็กำลังจะถูกนายทุนเงินกู้ยึดไป

สองตายายเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งต้มตุ๋น กล่าวว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2555 มีน.ส.ทิพย์สุดา หรือปู คนหมู่บ้านใกล้กันพร้อมพวก 3 คน มาติดต่อขอเช่าที่บ้านพร้อมที่ดินที่มีอยู่ 1 ไร่กับ 96 ตารางวาไปจำนองกับนายทุน ซึ่งพวกตนอาศัยอยู่โดยมีนางคำแดง แสงสว่าง อายุ 96 ปี ยายทวดอยู่ด้วยกันรวมเป็น 3 คน และที่ดินดังกล่าวเป็นที่มรดกของนางแพภรรยา ซึ่งขณะนั้นลูกๆ 7 คนไม่ได้อยู่ด้วย ไปทำงานต่างจังหวัดกันหมด โดยตกลงกันว่าจะจ่ายค่าเช่าให้เดือน 20,000 บาท เห็นว่าได้เงินดีจึงตกลง แต่เขากำชับว่าไม่ให้บอกใคร รวมทั้งลูกๆ 7 คน

จากนั้นกลุ่มผู้เช่าพาพวกตนไปจังหวัดขอนแก่น เพื่อจำนองที่กับนายทุนได้เป็นเงิน 450,000 บาท และเขาให้เซ็นเอกสารหลายอย่างแต่พวกตนอ่านไม่ออก เพราะไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ เพียงเขียนชื่อตัวเองเป็นอย่างเดียว เขาให้เงินค่าเช่ามา 60,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้รับเงินอีกเลย พอปี 2556 ก็ถูกนายทุนยื่นฟ้องขับไล่ที่ แต่พวกตนก็ไม่เข้าใจและก็ปิดเรื่องนี้ไม่ให้ลูกๆ ทราบมาตลอด พอปี 2558 น.ส.สุดาทิพย์คนเดิมมาขอเช่าที่นา 31 ไร่ อ้างเพื่อจะเอาไปจำนองนายทุน นำเงินมาไถ่บ้าน 500,000 บาท ซึ่งนายทุนกำลังจะยึดบ้าน พวกตนเกรงลูกๆ จะรู้เรื่องและกลัวจะไม่มีที่อยู่ ประกอบกับอายเพื่อนบ้านจะรู้เรื่อง จึงยินยอมให้น.ส.สุดาทิพย์เอาที่นาไปเข้าจำนองกับนายทุนในจังหวัดบึงกาฬ เป็นเงิน 950,000 บาท พวกตนเข้าใจว่าบ้านถูกไถ่ถอนแล้ว เพราะน.ส.สุดาทิพย์ไม่ได้ให้เงินอีกสักบาทเลย และก็เงียบหายไป พอมาถึงธันวาคม 2559 พวกตนก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากคาดควบคุมตัวไปศาลจังหวัดบึงกาฬ เพื่อฟ้องบังคับให้ออกจากบ้านและมีประกาศติดประตูหน้าบ้านห้ามบุกรุกด้วย จึงมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมในครั้งนี้

น.ส.รัตน์ดา พิมพ์พันธ์ อายุ 26 ปี ลูกสาวคนเล็กกล่าวว่า ครั้งแรกทราบเพียงว่าแม่กับพ่อถูกเขาหลอกเอาที่บ้านไปจำนองไม่จ่ายดอกเขาจึงมายึดบ้าน โดยนำป้ายมาปิดประกาศขายบ้านห้ามบุกรุก พอแม่และพ่อไม่ยอมออกจากบ้าน จึงถูกนายทุนฟ้องขับไล่ พอมาทราบอีกทีว่าที่นา 31 ไร่ ก็ยังถูกเขาหลอกเอาไปจำนองอีกเป็นเงินถึง 1.35 ล้านบาท โดยไม่ยอมมาไถ่ถอนบ้านให้เลย แต่เมื่อคณะกรรมการศูนย์ดำรงธรรมเรียกเอกสารจากสาระบบในสำนักงานที่ดินจังหวัด จึงได้รู้ว่าบ้านพร้อมที่ดิน 1 ไร่ 96 ตารางวาถูกขายตั้งแต่ปี 2555 แล้ว ลูกๆ ทุกคนแทบช็อก

ด้านนายรวมินทร์ ตรีเนตร ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า หลังได้รับเรื่องร้องเรียนได้เชิญคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม และคณะกรรมการไกล่เกลี่ยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบึงกาฬ เข้าประชุมหารือเป็นการด่วนเพื่อหาทางช่วยเหลือ 2 ตายายผู้เสียหาย ซึ่งมีมติให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ปากคาดท้องที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีกับ น.ส.ทิพย์สุดา หรือปู ในข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากไปหลอกลวงขอเช่าที่ดินพร้อมบ้านไปจำนอง แต่กลับนำเอาไปขายในวันรุ่งขึ้นตามเอกสารที่ไปทำไว้กับ สนง.ที่ดินจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งจะต้องดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน