จากกรณีสมาชิกเฟซบุ๊ค “อามิตร จาวลา” โพสต์ภาพถ่ายเช็คของธนาคารที่ถูกปลอมแปลงลายเซ็นและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดผู้รับเงิน จำนวน 63 ใบ สูญเงินไปถึง 8 ล้านบาท จากธนาคารชื่อดัง 4 แห่ง แถมทวงถามความรับผิดชอบจากธนาคารกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่เช็คธนาคารมีความผิดปกติชัดเจนกลับปล่อยให้คนร้ายเอาเงินไป ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว หนุ่มโวย โดนปลอมเช็ก สูญ 8 ล้าน งง 4 แบงก์ให้ขึ้นเงิน ทั้งที่มีรอยขีดฆ่าชื่อดื้อๆ!

ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 16 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายอามิตร จาวลา อายุ 33 ปี นักธุรกิจเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องสำอางชื่อดังของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่โพสต์เรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่า หลังเกิดเรื่องตนได้ตรวจสอบพบว่าอดีตพนักงานบัญชีของร้านเป็นผู้ทุจริต เมื่อวันที่ 28 ก.ย.61 เนื่องจากถูกคู่ค้าโทรศัพท์ทวงถามว่ายังไม่ได้รับเงินค่าสินค้า ทั้งที่เช็คของทางร้านได้สั่งจ่ายไปแล้วและเงินถูกตัดบัญชีแล้ว จึงตรวจสอบจนพบว่าอดีตพนักงานบัญชีทำการทุจริตด้วยการปลอมแปลงลายเซ็นและแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินในเช็ค

ซึ่งเช็คทั้งหมด 63 ใบ รวมเป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ทุกใบถูกเปลี่ยนชื่อผู้รับเงินเป็นชื่อสามี ลูกชาย รวมทั้งชื่อของอดีตพนักงานบัญชีรายนั้นด้วย โดยพบว่าแต่ละเดือนในบริษัทมีการทำธุรกรรมผ่านเช็คนับร้อยใบ อดีตพนักงานบัญชีรายนี้ฉวยโอกาสหยิบเช็คครั้งละ 2-3 ใบ และนำไปแก้ไข ก่อนนำฝากเข้าบัญชีต่างๆ ที่เตรียมไว้ เพื่อรับเงินจากธนาคาร 4 แห่ง อีกทั้งยังพบด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่ของธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุน และรับเงินโอนจากเช็คที่อดีตพนักงานบัญชีรายนี้ปลอมแปลงอีกด้วย

หลังจากที่ตรวจสอบพบได้มีการแจ้งความดำเนินคดี พร้อมทั้งติดต่อไปยังธนาคารเพื่อทวงถามความรับผิดชอบ เนื่องจากจำนวนเงินที่ได้รับความเสียหายรวมแล้วมากกว่า 8 ล้านบาท และที่สำคัญก็คือเช็คทั้งหมดที่มีการปลอมแปลงลายเซ็นและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินนั้น ทุกใบมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น เช็คบางใบมีถึง 3 ลายเซ็นที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย, มีการแก้ไขชื่อผู้รับเงินหรือวันที่ โดยที่บางใบมีการเร่งวันที่ให้เร็วขึ้นด้วย เป็นต้น

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

แต่เหตุใดทางธนาคารกลับไม่มีการตรวจสอบหรือสังเกตพบเลย รวมทั้งหากมีข้อสงสัยใดๆ ทำไมจึงไม่สอบถามกลับมาที่ตัวเอง อย่างไรก็ตามจากการติดตามทวงถามกับทั้ง 4 ธนาคารชื่อดัง ตลอดช่วงเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ และมีท่าทีที่ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีอย่างที่ควรจะเป็นด้วย เช่น ขอหลักฐานประกอบสำนวนก็ยังให้ไม่ครบ เป็นต้น ทั้งๆ ที่ธุรกิจของครอบครัวตัวเองเป็นลูกค้าของธนาคารมานานหลายสิบปี

นายอามิตร กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนตกอยู่ในความเครียดอย่างมาก จนนอนไม่หลับและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติ ทำให้ต้องพบแพทย์และกินยาคลายเครียด นอกจากนี้กรณีที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบต่อการขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจของตัวเองด้วย อย่างไรก็ตามยังถือว่าโชคดีและต้องขอบคุณที่ทางบริษัทคู่ค้าต่างๆ เข้าใจกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้าออกไปก่อน รวมทั้งยังให้สั่งสินค้าได้เช่นเดิม








Advertisement

โดยเรื่องราวที่ตนนำมาโพสต์ลงในโซเชียลนั้น เหตุผลเพราะต้องการจะให้เป็นกรณีตัวอย่างและเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้คนเพื่อให้ระมัดระวังรอบคอบและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก รวมทั้งต้องการร้องขอความเป็นธรรมและทวงถามความรับผิดชอบจากธนาคารชื่อดังทั้ง 4 แห่ง ด้วย


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน