วิจารณ์ยับ อภ.เตรียมนำเข้ากัญชาต่างประเทศ อดีต สว.เชื่อเป็นขบวนการล็อคสเปคเพื่อกลุ่มทุน

วันที่ 22 พ.ค. เป็นวันที่สองของกิจกรรม “เดินเพื่อผู้ป่วย:กัญชารักษาโรค” ซึ่งคณะพระสงฆ์ ผู้ป่วยและประชาชนที่พักค้างแรมที่วัดโพธิ์ไทรงาม อ.บึงนาราง จ.พิจิตร เริ่มต้นออกเดินตั้งแต่เวลา 08.00 น.โดยมีเป้าหมายจุดแวะค้างแรมที่วัดพลังไพร อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์

ทั้งนี้อาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่องค์การเภสัชกรรม(อภ.)เตรียมน้ำเข้ากัญชาจากต่างประเทศว่า เป็นแนวความคิดที่สวนทางกับคณะที่เดินเท้าเพราะเราจุดมุ่งหมายให้ประชาชนพึ่งตนเองให้ได้ และไม่ต้องการเสียเงินเพื่อสั่งซื้อยาจากต่างประเทศ ที่สำคัญเท่ากับเป็นการตัดโอกาสการเรียนรู้เรื่องกัญชาดังนั้นการนำเข้าจึงไม่มีประโยชน์เพราะจริงๆแล้วคนไทยสามารถทำเองได้

ด้าน นายโจน จันได ผู้ก่อตั้งสวนพันพรรณ จ.เชียงใหม่ ซึ่งร่วมเดินเท้าในครั้งนี้ กล่าวว่า การที่ อภ.จะนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศนั้นเป็นเทคนิควิธีเดิมๆที่น่าเบื่อคือห้ามประชาชนปลูก แต่กลับนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนไม่น่าจะยอม เพราะในเมื่อคนไทยทำได้เองแล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้ทำ นี่คือสงครามแย่งชิงทรัพยากรที่ประชาชนต้องเจอคือระบบราชการและนักการเมืองที่ถูกครอบงำโดยภาคธุรกิจโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ท้ายที่สุดคนที่สูญเสียประโยชน์คือประชาชน

เรื่องนี้ลึกและซับซ้อนพอสมควร จึงจำเป็นที่ประชาชนต้องลุกขึ้นมาสู้ เพราะเป็นการปล้นทรัพยากรอย่างเป็นระบบ ทั้งๆที่ควรเป็นสิทธิของผู้ป่วยที่ควรรักษาตัวเองได้และไม่ต้องเสียเงินมาก อย่างในสหรัฐ มีคนต้องฆ่าตัวตายจำนวนมาก เพราะค่ารักษาพยาบาลแพง จนบางรัฐต้องเปิดให้ใช้กัญชา เช่นเดียวกับที่แคนาดาได้พัฒนาจนกัญชากลายเป็นสินค้าส่งออก”นายโจน กล่าว

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายกังวลหากมีการเปิดให้ประชาชนปลูกกัญชาเสรีแล้วจะทำให้การเสพติดกัญชาเพิ่มสูงขึ้น นายโจนกล่าวว่า ไม่กังวลในประเด็นนี้เพราะจากสถิติพบว่าคนที่ติดกัญชามีน้อยมาก น้อยกว่าติดบุหรี่เสียอีก ที่สำคัญคือกัญชาไม่ได้ทำลายสุขภาพเหมือนบุหรี่และเหล้า

ซึ่งตอนนี้ประชาชนจำนวนไม่น้อยใช้กัญชาเพื่อสุขภาพและรักษาโรค ที่ผ่านมากัญชาถูกสร้างภาพให้เข้าใจผิดมานานว่าเป็นสิ่งเสพติดที่เป็นผลร้ายจนดูน่ากลัวจากบริษัทยาต่างประเทศที่ผูกขาดเพราะต้องการให้คนไทยใช้ยาเคมี

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กทม. กล่าวว่า การที่ อภ.เตรียมนำเข้ากัญชาทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาก่อนปลดล็อค มีประเด็นเรื่องของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งขอจดสิทธิบัตร และกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้รับไว้พิจารณา ทั้งๆที่ยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้ยาเสพติดมาเป็นยา แต่มีรัฐมนตรีในรัฐบาลคสช.ได้ไปพบบริษัทญี่ปุ่นหลายครั้ง

ทำให้เกิดคำถามในเรื่องกระบวนการผูกขาดที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน 1. รัฐมนตรีที่มีความสัมพันธ์กับต่างชาติ 2.นักการเมืองค่ายหนึ่งที่ต้องการเอื้อกลุ่มทุนในพลังประชารัฐมาผูกขาดหรือไม่ การที่ไม่อนุญาตไม่ให้ใครปลูกเลยจนเกิดการเพ่งเล็งว่าต้องการให้กลุ่มทุนใหญ่ในเครือข่ายได้ผูกขาดหรือไม่ เมื่อถูกจับตามาก็เลยจะไปนำเข้ากัญชาจากต่างชาติเพราะ อภ.ปลูกได้แค่ร้อยกว่าต้น ดังนั้นจึงอยากให้จับตามองว่าหน่วยงานรัฐนำเข้ากัญชาจากที่ใด

เมื่อถามว่า อภ.ให้เหตุผลว่าเป็นการนำเข้าระยะสั้นเพื่อผู้ป่วยฟังขึ้นหรือไม่ น.ส.รสนากล่าวว่า ฟังไม่ขึ้นเพราะควรเปิดโอกาสให้คนไทยทำเอง แต่กลับมีหลายกลไกลจงใจปิดกั้น ทำไมต้องนำเข้า ซึ่งเคยมีข้อเสนอว่าให้รัฐวิสาหกิจชุมชนหรือแพทย์แผนไทยทำเอง

แต่กลับมีความพยายามล็อคว่ากัญชาต้องไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีปนเปื้อน นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าตอนนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) มีกัญชาที่จับได้อยู่ 22 ตัน และส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบ

โดยเขาได้ชวนพวกตนไปดูและแจ้งว่าต้องตรวจสารเคมี 60 ตัว และสารโลหะหนัก 4 ชนิด หากพบสารโลหะหนักตัวใดตัวหนึ่งเกินค่ามาตรฐาน เขาก็จะเผาทิ้งหมด เราเสนอว่าควรเอามาสกัดและแยกสารปนเปื้อน แล้วดูที่ผลิตภัณฑ์ว่ายังปนเปื้อนหรือไม่

ถ้าเขาอ้างว่ากัญชา 22 ตันปนเปื้อน แล้วเผาทิ้งก็เท่ากับทำลายวัตถุดิบต้นน้ำ คุณไม่อนุญาตให้ใครปลูกแล้วอ้างความจำเป็นนำเข้า ถือว่าเป็นเกมของคุณทั้งหมดที่ต้องการโอนผลประโยชน์ไปให้ธุรกิจเอกชนหรือไม่ เราสงสัยว่าจะมีข้อตกลงอะไรกันหรือเปล่า ปัญหากัญชาที่คุณกีดกันประชาชนเพื่อคุณจะได้ถ่ายโอนให้คอนเน็คชั่นที่ต้องการควบคุมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำหรือไม่

แต่ระหว่างยังคุมไม่ได้หมดก็ไปอิงกับกลุ่มทุนต่างประเทศ เราเคยตั้งคำถามว่าได้มีการให้ทุนกับการเมืองเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ หากมีอำนาจแล้วจะได้เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มทุนกลุ่มนี้”น.ส.รสนา กล่าว

น.ส.รสนา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เมื่อเร็วนี้ ปปส.ยังได้เข้าไปทำลายไร่กัญชาในป่าที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 3 ไร่ ทั้งๆที่เป็นกัญชาพันธุ์ตะนาวศรีซึ่งเป็นพันธุ์ดี แทนที่จะนำมาพัฒนาพันธุ์เพื่อการศึกษาวิจัย ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเผาไปทำไม และหากเผาอีก 22 ตัน โดยอ้างเรื่องมีสารเคมีปนเปื้อนก็ยิ่งตอบโจทย์ในข้อสงสับ

“ที่พืชผักที่ปนเปื้อนมากมาย ไม่เห็นสนใจชีวิตเรา แต่กลับจริงจังกับกัญชาตัวเดียว หรืออย่างสมุนไพรแห้งที่ขายทำยามากมายเคยมีหน่วยงานรัฐเข้าไปเอาของเหล่านั้นมาตรวจหรือไม่ และในตำรับยาของแพทย์แผนไทย 16 ชนิด มีสมุนไพรต่างๆเป็นองค์ประกอบ

คุณเคยไปตรวจหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นข้ออ้างหรือไม่ ถ้าหน่วยงานรัฐสนใจเรื่องสารปนเปื้อนจริงๆก็น่ายกเลิกนำเข้าสารเคมีที่เป็นพิษที่ใช้ในการเกษตรก่อนซึ่งเขาล็อคสเปคกันเป็นขบวนการ ดิฉันเชื่อว่ากัญชาก็กำลังถูกล็อคสเปคเช่นนี้”น.ส.รสนากล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน