ศาลฎีกา สั่งบ.เหมืองแร่ จ่ายชดเชยค่าเสียหาย ชาวบ้านแม่ตาว ป่วยจากสารแคดเมี่ยม

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกสิ่งแวดล้อมมีคำพิพากษาให้บริษัทผาแดงอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) และบริษัทตากไมนิ่ง จำกัด ร่วมกันจ่ายชดเชยค่าเสียหายแก่ชาวบ้านทั้งชาวไทยเชื้อสายไทยและชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ในตำบลแม่กุ พระธาตุผาแดง และแม่ตาว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่ได้รับความเสียหายเจ็บป่วยจากสารแคดเมี่ยม จากผลกระทบการกระทำเหมืองแร่ของบริษัททั้งสองรวม 20 ราย เป็นเงินตั้งแต่ 20,200 – 104,000 บาท

ชาวบ้านลุ่มน้ำแม่ตาว ประกอบด้วย 3 ตำบล ได้แก่ตำบลแม่กุ พระธาตุผาแดง และแม่ตาว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลเนื่องจากกิจกรรมทำแร่สังกะสีของบริษัทผาแดงอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) และบริษัทตากไมนิ่ง จำกัด โดยมีผลการตรวจดิน ข้าว และการตรวจเลือดในร่างกายยืนยัน ได้ทยอยยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายต่อบริษัททั้งสองตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 รวมทั้งฟ้องร้องหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมต่อศาลปกครอง

จนวันที่ 14 สิงหาคม 2556 ศาลปกครองพิษณุโลกได้อ่านคำพิพากษา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกาศกำหนดให้บริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

ต่อมาในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 ศาลฎีกาแผนกสิ่งแวดล้อมได้อ่านคำพิพากษา ให้บริษัททั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำกิจกรรมเหมืองแร่จำนวน 155 คน เป็นเงินตั้งแต่ 10,000 – 280,000 บาท แตกต่างกันตามความเสียหายที่สามารถพิสูจน์ได้

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า มีข้อสังเกตว่า เมื่อปี 2561 ศาลฎีกาให้บริษัททั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องทุกคนทั้ง 155 คนที่อาศัยอยู่และทำกินบริเวณลำห้วยแม่ตาว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ศาลฎีกาให้ชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะผู้ที่มีผลการตรวจและรายงานการรักษาจากโรงพยาบาลเท่านั้น

“ทำให้ชาวบ้านได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเพียง 20 คน จากผู้ยื่นฟ้อง 84 คน และแตกต่างจากกรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วจากกิจกรรมเหมืองแร่ ที่ลำห้วยคลิตี้ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทุกคน และมีจำนวนเงินในแต่ละรายมากกว่ากรณีแคดเมี่ยมที่ลุ่มน้ำแม่ตาวมาก ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความยากลำบากในการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายสุรพงษ์ กล่าว

ด้านนายญาณพัฒน์ ไพรมีทรัพย์ แกนนำชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า เงินที่ได้รับจากกระบวนการยุติธรรมเป็นเงินที่มีจำนวนน้อยมาก เฉลี่ยต่อรายเป็นเพียงหลักหมื่น ปัจจุบันชาวบ้านยังมีการเจ็บป่วยอยู่ตลอดมา บางคนมีอาการทางโรคไต บางคนหลังคู้งอ มีอาการปวดตามข้อต่างๆ อีกทั้งการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทั้งในพื้นที่เหมืองแร่เดิมที่ปิดทำการไปแล้ว ในห้วยแม่ตาวตลอดจนในชุมชน ก็ยังไม่เกิดขึ้น ชาวบ้านยังคงได้รับอันตรายจากสารพิษจนปัจจุบัน

นายญาณพัฒน์ กล่าวต่อว่า อยากให้มีการศึกษาจุดรั่วไหลจากเหมืองแร่ให้ชัดเจน จะได้ทราบจุดกำเนิดและทิศทางรั่วไหลแพร่กระจายมลพิษ เพื่อจะได้แก้ไขกำจัดมลพิษและฟื้นฟูได้ถูกจุด รวมทั้งเร่งประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เนื่องจากหลังจากมีคำพิพากษาศาลปกครองในปี 2556 ก็ยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้พื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาวเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมออกมาเลย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน