มาเป็นห่าฝน ฝูงแมงอีนูนอาละวาดหนัก กัดกินใบมัน โกร๋นเกือบ100ไร่
เมื่อเวลา 19.00 น. ( 7 พ.ค. 63 ) นายละออ เสร็จกิจ หัวหน้ากลุ่มงานอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดราชบุรี ได้นำเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอ และเกษตรตำบลลงพื้นที่ตรวจสอบแปลงไร่มันสำปะหลังของนางนรภัทร โอภาสรัตนาพร อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174/4 หมู่ 3 ต.แก้มอ้น อ.จอมบึง
หลังได้รับรายงานว่าไร่มันสำปะหลัง ถูกแมงอีนูนหรือจินูนแดง กัดกินทำลายใบเสียหายจำนวนมาก ส่งผลทำให้ต้นมันสำปะหลังที่ปลูกไว้ หยุดชะงักการเจริญเติบโต จากการตรวจสอบไร่มันสำปะหลังดังกล่าวพบว่าบริเวณใบถูกแมงจินูนกัดกินจนเหลือแต่ก้านกระจายเป็นวงกว้าง สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะต้องออกฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในช่วงกลางคืน
นางนรภัทร โอภาสรัตนาพร เจ้าของไร่มัน เปิดเผยว่า ปลูกมันสำปะหลังหลายแปลง แต่ที่ถูกแมลงจินูนแดงกัดกินใบมีอยู่ 2 แปลงประมาณ 28 ไร่ กัดกินใบลักษณะแบบปูพรมเป็นแถวยาวเรื่อยไป เหลือแต่ก้านให้เห็นเป็นครั้งแรกที่เคยเจอตั้งแต่ปลูกมันสำปะหลังมานานหลายปี
มันมาเยอะมากตอนกลางคืนประมาณทุ่มเศษๆ จะบินมากัดกิน จึงใช้ยาฉีดพ่นทำลายตอนกลางคืน พอฉีดไม่นานก็จะพบว่าแมงเริ่มหล่นตกลงพื้นดินเป็นจำนวนมากและตายไป
ในพื้นที่แถบนี้จะปลูกมันสำปะหลังกันเยอะมาก ส่วนแมงจินูนแดงนอกจากจะกินใบมันสำปะหลังแล้วยังชอบกินใบมะขาม ใบสะเดาด้วย ทำให้ที่ไร่ตอนนี้ที่ถูกแมงจินูนแดงกัดกินใบส่งผลให้หยุดชะงักการเจริญเติบโตด้วย อย่างแปลงนี้ใช้เวลาปลูกมาประมาณ 8 เดือนแล้ว เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ถูกกินจนเหลือแต่ก้าน
ทางด้านนายละออ เปิดเผยว่า วิธีแรกที่แนะนำเกษตรกร คือ เก็บตัวแก่ไปทำอาหาร เพราะแมงนูนแดงจะมีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม ทางภาคอีสานนิยมนำไปคั่วแปรรูปทำอาหาร
ช่วงนี้เป็นช่วงที่แมงจินูนแดงขึ้นมาผสมพันธุ์และวางไข่ ในท้องจะมีไข่จำนวนมากอร่อยกินได้ แต่ถ้าเยอะเกินปริมาณที่เก็บได้ก็จะแนะนำให้ใช้สารเคมีจำพวกคาบาร์รีล เป็นยาที่ฉีดแล้วถูกตัวตาย และมียาอีกชนิดชื่อ ไซเปอร์เป็นยาน็อกแมลงโดยตรงฉีดพ่นไปแล้วตาย
ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่ามีพื้นที่ถูกทำลายของแมงจินูนแดงประมาณ 80 ไร่ มีเกษตรกรได้รับผลกระทบประมาณ 5 ราย ในพื้นที่ อ.จอมบึง ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งแรก และครั้งแรกของราชบุรีที่พบการระบาด ซึ่งตามปกติทั่วไปจะพบการระบาดจากแมงจินูนหลวงจะมีลักษณะตัวใหญ่กว่านี้
โดยแมงจินูนแดงจะอาศัยอยู่ในดินตอนกลางวัน พอตอนกลางคืนจะขึ้นมาหากินใบพืช ผสมพันธุ์ ตัวเต็มวัยประมาณ 1 เดือนจะวางไข่ไปเรื่อย ๆ และตายไป ถึงช่วงหน้าฝนปีหน้าจึงจะขึ้นมาจากดินใหม่เรียกว่าปีหนึ่งมีครั้งเดียว
เกษตรกรต้องหมั่นสำรวจพื้นที่ แปลงไหนถูกทำลายให้ฉีดพ่นสารเคมีกำจัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่ใกล้เคียงทันที เพื่อลดความเสียหายของพืชไร่