เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 6 ก.ค. พ.ต.ท.สุนทร พิมพันธ์ พงส.สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ นัดหมายนายขจรศักดิ์ พุ่มสกุลอายุ 35 ปี และน.ส.พรนภา พุ่มจันทร์ อายุ 23 ปี ภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 15 ชุมชนเก้าห้อง แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กทม. กับพนักงานสอบสวนได้สอบเค้นเอาความจริง

สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา นายขจรศักดิ์ และน.ส.พรนภา เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สุนทร พิมพ์พันธุ์ พงส.สภ.พระสมุทรเจดีย์ว่า ในช่วงเวลา 22.30 น. ขณะที่ตนและภรรยาขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น PCX สีดำ ป้ายแดง มาตามซอยวัดคู่สร้างโดยห่างจากตัววัดคู่สร้างประมาณ 100 เมตร มีกลุ่มวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์และซ้อนท้าย ขับตามกันมา 3 คัน จากนั้นกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาประกบแล้วได้ชักมีดปลายแหลมมาจี้ตนและภรรยาให้ลงจากรถ จากนั้นขับรถของตนหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

พ.ต.ท.สุนทร จึงลงพื้นเข้าตรวจสอบพร้อมด้วย นายขจรศักดิ์ พบว่าในที่เกิดเหตุมีบ้านเรือนประชาชนหนาแน่น จึงไม่ปักใจเชื้อว่ามีคนร้ายมาก่อเหตุจริง ขณะเดียวกันระหว่างที่สอบถามนายขจรศักดิ์ เริ่มมีพิรุธหลายอย่าง และให้การไม่ตรงกันภรรยา อีกทั้งไม่แสดงอาการเสียดายทรัพย์เหมือนคนอื่น โดยสภาพร่างกายคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน ที่สำคัญผู้เสียหายไม่มาแจ้งความทันทีในขณะที่ถูกชิงทรัพย์

พ.ต.อ.อนันต์ ชัยชาญ ผกก.สภ.พระสมุทรเจดีย์พร้อมด้วย จึงนัดนายขจรศักดิ์และภรรยามาสอบปากคำอีกครั้ง โดยใช้เวลาสอบสวนนานหลายชั่วโมง จนกระทั่งนายขจรศักดิ์และภรรยา ยอมเปิดปากรับสารภาพว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องเท็จที่ตนและภรรยากุเรื่องขึ้นมาเอง

จากการสอบสวน นายขจรศักดิ์ ให้การว่า ตนไปซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในราคาแสนกว่าบาทและส่งงวดรถไปแค่ 2 งวด ทำให้ติดงวดรถอยู่ 2 เดือนพอ 2 เดือนหลังตนถูกไฟแนนซ์ติดตามทวงหนี้ที่ค้างอยู่ แต่ไม่มีเงินไปชำระ ซึ่งพอดีตนได้ไปรู้จักกับนายบัง (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) ชักชวนตนให้ไปเล่นพนันแทงบอล เพื่อหวังจะได้เงินมาชำระค่างวดรถที่ค้างอยู่

โดยระหว่างที่ตนหลงผิดเข้าเล่นได้เดือนกว่า จนทำให้ตนไปเป็นหนี้โต๊ะพนันบอลเกือบ 3 หมื่นบาท กระทั่งเจ้าของโต๊ะบอลไล่บี้ทวงเงินและขู่จะทำร้ายร่างกาย แต่ตนก็ไม่มีเงินไปจ่ายทางโต๊ะบอลจนถูกยึดรถแทน จากนั้นตนจึงวางแผนที่จะไม่ต้องส่งงวดรถ โดยได้ชักชวนภรรยามาแจ้งความเท็จดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหานายขจรศักดิ์และน.ส.พรนภา 3 ข้อหา คือร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนหรือผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิดและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานสอบสวนหรือผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เพื่อดำเนินการตามคดีต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน