ฝ่ายปกครองบุกจับร้านเหล้ากลางเมืองตรัง ลอบขายเหล้า-เบียร์ให้เด็ก ปล่อยเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี เข้าเที่ยวเป็นจำนวนมาก ชงผู้ว่าฯ สั่งปิดร้านยาว 5 ปี
เมื่อวันที่ 21 พ.ย.63 นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และนายสราวุฒิ ธนาเจริญสกุล นายอำเภอเมืองตรัง สั่งการให้ นายหมวดตรีอดิศร ชูพูล รองผู้บังคับกองร้อย อส.จ.ตรัง ที่ 1 และ นายธวัชชัย กรเพชร ปลัดอำเภอฝ่ายอำนวยความเป็นธรรมอำเภอเมืองตรัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สมาชิก อส.จ.ตง.ที่ 1 ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองตรัง จำนวน 15 นาย ร่วมกันตรวจสถานบริการและสถานประกอบการคล้ายสถานบริการชื่อว่า “ร้านมัธยม” ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดชินตา เขตเทศบาลนครตรัง
เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและผู้ปกครองว่า มีเยาวชนจำนวนมากมานั่งดื่มภายในร้าน จึงเข้าตรวจพบว่า มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชน อายุต่ำกว่า 20 ปี เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันนำตัวเยาวชนทั้งหมด จำนวน 37 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 17-18 ปี มาให้ถ้อยคำและนำตัวพนักงานบัญชี “ร้านมัธยม” พร้อมด้วยของกลางทั้งหมด เป็นบิลการจ่ายเงิน และขวดเบียร์ ไปยังที่ทำการปกครองอำเภอเมืองตรัง เพื่อทำการบันทึกจับกุม จากนั้นนำส่ง สภ.เมืองตรัง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายธวัชชัย เปิดเผยว่า จากการที่เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการคล้ายสถานบริการ ซึ่งก่อนหน้าทางนายอำเภอเมืองตรัง ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมา ได้จับกุมไปจำนวน 3 ร้าน ซึ่งปล่อยปะละเลยให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ
ส่วนกรณีล่าสุดจากการตรวจสอบเบื้องต้นก็พบว่ามีหลายร้าน แต่ที่ “ร้านมัธยม” พบว่ามีเด็กอยู่ในร้านเยอะมาก แต่บางส่วนก็หลบหนีออกไปได้ และสามารถจับกุมตัวมาได้แค่ 37 คนเป็นเยาวชนชาย 22 คน เยาวชนผู้หญิง 15 คน จึงนำตัวมาเพื่อทำบันทึกปากคำกันไว้เป็นพยานเพื่อเอาผิดกับทางเจ้าของร้าน ดำเนินการไปตาม พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ฯ มาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 40 และอีกฐานความผิดคือ การปล่อยปะละเลยยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติในสิ่งไม่ดี ตามพ.ร.บ.คุมครองเด็กฯ มาตรา 26 วรรค 3
ซึ่งความผิดเหล่านี้เป็นความผิดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ออกคำสั่งทางปกครองให้ปิดร้าน 5 ปี ตามคำสั่ง คสช.ที่ 22 ได้ ส่วนเยาวชนทั้ง 37 คนจะกันไว้เป็นพยานให้ถ้อยคำ แล้วนำส่งสถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง พร้อมดำเนินการเรียกผู้ปกครองมารับทราบ และว่ากล่าวตักเตือน ก่อนปล่อยกลับบ้าน
