เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ วันที่ 332 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระมหาราชวัง (กอร.รส) ได้ปรับเวลาเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 2 จุด คือ จุดคัดกรองโรงแรมรัตนโกสินทร์ และจุดคัดกรองวงเวียนรักษาดินแดน ซึ่งประชาชนสามารถมารอเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ได้ตลอดเวลา ไปจนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม 2560 โดยวันนี้ (30ก.ย.) นับเป็นช่วงวันหยุดสุดท้ายของการเปิดให้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ
โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเดินทางมาต่อคิวเป็นจำนวนมากตลอดทั้งวันทั้งคืน และต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะได้เข้ามากราบพระบรมศพ โดยที่ตลอดเส้นทางมีจิตอาสาคอยให้บริการน้ำดื่ม และเก็บขยะ แจกจ่ายอาหารให้แก่ประชาชน พร้อมรถสุขาเคลื่อนที่คอยให้บริการ เพื่อความสะดวกสบายของประชาชนที่มาเข้าคิว
ด้านน.ส.บุญเยือน กุลรยะ อายุ 63 ปี อาชีพแม่บ้าน อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสายไหม ที่เดินทางมาเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ เปิดเผยว่า ตนและเพื่อนมาถึงบริเวณสนามหลวงประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 29 ก.ย. ปลายแถวอยู่ตรงกองสลากเก่า ซึ่งพวกเรามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้ากราบพระองค์ท่านในทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะเห็นว่าคนเยอะเพียงไหนแต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ซึ่งตนได้เข้าไปถึงเขตพระราชวังในช่วงเช้าตรู่ ยิ่งรู้สึกเข้าใกล้พระองค์มากเพียงใดก็รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง และถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตด้วย
“สำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตนตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องมาให้ได้ แต่คงต้องศึกษาเส้นทางการเดินรถก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนจะเข้ามาให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทุกๆครั้งที่มีงานพิธีที่เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ถ้ามีโอกาสตนจะเดินทางไปเสมอ และส่วนตัวแล้วซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่พระองค์ท่านทรงงานหนักทำเพื่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด” น.ส.บุญเยือน เผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
น.ส.บุญเยือน กล่าวว่า ภาพที่ตนเห็นพระองค์ท่านมาตลอด คือ ภาพที่พระองค์ท่านทรงงานหนัก เยี่ยมเยือนราษฎรตามถิ่นทุรกันดาน แก้ปัญหาต่างๆนาๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น รวมทั้งมองการณ์ไกลในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญยิ่งขึ้นไป ตนโชคดีที่ได้เกิดในรัชกาลที่ 9
