เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 336 ที่มีพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาเข้าคิวรอกราบถวายบังคมพระบรมศพอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายตั้งแต่ช่วงเช้า ประชาชนส่วนใหญ่นำร่มมากางและสวมใส่เสื้อกันฝน แต่หลายรายที่ยืนตากฝน เพื่อรอที่จะเข้าไปกราบพระบรมศพก่อนปิดในเวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 5 ต.ค. โดยท้ายแถวยาวไปจนถึงถนนดินสอ ฝั่งกรุงเทพมหานคร และมีแถวล้นออกมาบริเวณถนนราชดำเนินกลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจึงอำนวยความสะดวก เพื่อความปลอดภัย โดยปิดการจราจร 1 ช่องทาง ฝั่งตั้งแต่หัวมุมถนนดินสอจนถึงแยกถนนตะนาว

วันเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) ทำอาหารและขนมไทยโบราณมาร่วมแจกให้กับพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่บริเวณทางออกประตูวิมานเทเวศร์ ในพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย ข้าวไก่ตุ๋นยาจี, ข้าวแกงคั่วหอยแครง, ข้าวปลาน้ำดอกไม้ราดซอสมะขาม, ข้าวหมูอบ และกล้วยไข่เชื่อม

สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 00.01 น. จนถึงเวลา 24.00 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 88,602 คน รวม 335 วัน มี 12,532,492 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,712,411.25 บาท รวม 335 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 876,090,282.76 บาท โดย เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จนหมดชุดสุดท้ายของวันที่ 3 ต.ค. ในเวลา 03.50 น. ของวันที่ 4 ต.ค.

นางจันทร์เพ็ญ สีสัน อายุ 51 ปี ชาวบ้านหมู่ 9 บ้านห้วยฆ้อง ต.ปรางค์กู่ อ.พิมาย จ.ศรีสะเกษ กล่าวอย่างตื้นตันว่า ตนกับเพื่อนๆในหมู่บ้าน ประมาณ 30 คน ร่วมกันเหมารถบัสเดินทางออกจากศรีสะเกษตั้งแต่ 5 โมงเย็นเมื่อวาน และมาต่อคิวเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพประมาณ ตี 3 ซึ่งขณะนั้นท้ายคิวอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว รอประมาณ 8 ชั่วโมง จึงได้ขึ้นกราบถวายบังคมพระบรมศพ ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าต้องต่อคิวนานและลำบาก ตนก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าจะนานหรือลำบากแค่ไหนก็ทนได้ แม้จะมีโรคประจำตัวเป็นโรคโลหิตจาง ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย แต่ตนก็ไม่ย่อท้อ เพราะตั้งใจมาแล้ว

“เมื่อวานนั่งคิดทั้งวันว่าจะมีบุญวาสนามากราบพ่อหลวงหรือไม่ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ซึ่งรถบัสที่จองไปก็บอกยกเลิก ปรากฏว่าตอนเย็นก็มีเพื่อนมาชวนว่าได้รถแล้วให้ไปด้วยกัน นับว่าเป็นบุญของป้าเหลือเกิน ครั้งนี้ได้มาใกล้ชิดพระองค์มากที่สุดในชีวิตแล้ว และเป็นครั้งแรกที่เคยเข้ามาในพระบรมมหาราชวัง ป้ารู้สึกปลาบปลื้มและโล่งใจมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายที่ใกล้จะถึงวันถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว แต่ป้าจะระลึกถึงพระองค์ตลอดไป และจะทำความดีตามรอยพระยุคลบาท” นางจันทร์เพ็ญ กล่าว

ด้าน น.ส.ภิญญา คณานุรักษ์ อายุ 38 ปี ชาวบ้านจากต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่รัฐนิวเซาท์เวล ประเทศออสเตรเลีย เดินทางมาพร้อมลูกชาย 2 คน คือด.ช.แมกซ์ ลีเดอร์ อายุ 4 ขวบ และด.ช.ไทเลอร์ ลีเดอร์ อายุ 2 ขวบ เปิดเผยหลังกราบสักการะพระบรมศพว่า ขณะที่ในหลวงร.9 เสด็จสวรรคต ตนพักอยู่ที่จ.เชียงใหม่ ตอนนั้นใจรู้สึกว่างเปล่า ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง และได้ติดตามข่าวหลังจากนั้นมาโดยตลอด ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศอีกครั้ง เมื่อมาถึงท้องสนามหลวง ก็น้ำตาไหลที่มีประชาชนมาแสดงความรักพระองค์เป็นจำนวนมาก ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมากราบพระองค์ โดยอยากให้ลูกมารับรู้ความรู้คนไทยที่มีต่อในหลวง ร.9 ดิฉันบอกกับลูกๆ ว่า ในหลวง ร.9 พระองค์เป็นพระราชาที่ดีที่สุดในโลก ทรงทำช่วยเหลือพสกนิกรที่ยากลำบากในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงผู้ที่อยู่ตามชายแดน แม้ไม่ใช่สัญชาติไทยก็ทรงให้ความช่วยเหลือ เพราะถือว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ทำให้ประทับใจมาก รวมถึงสามีซึ่งเป็นชาวออสเตรเลียก็ยกย่องในหลวง ร.9 มาก เขาบอกว่าไม่เคยเห็นพระราชาคนไหนที่ทำงานอย่างไม่มีวันหยุด นับตั้งแต่ครองราชย์จนถึงวันสวรรคต” น.ส.ภิญญา กล่าวอย่างตื้นตัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน