หมวดจรูญ ควงทนายตั้ม ตั้งโต๊ะขออภัยครูปรีชาออกสื่อ ตามสัญญา หลังถูกพาดพิงจนถูกฟ้อง ก่อนศาลไกล่เกลี่ยให้เรื่องจบๆ ไป เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย

จากกรณี นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือ หมวดจรูญ ข้อหายักยอกทรัพย์ หลังทั้งคู่ต่างอ้างว่าเป็นเจ้าของลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 30 ล้าน ต่อมาวันที่ 4 มิ.ย.62 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี พิพากษายกฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ แต่คดีย่อยที่ฟ้องแยกออกไปยังมีอีกหลายคดี โดยเฉพาะคดีที่ ครูปรีชา ฟ้อง หมวดจรูญ ในข้อหาหมิ่นประมาท จากนั้นวันที่ 1 ส.ค.62 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง หมวดจรูญ

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

ต่อมา ครูปรีชา ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้กลับคำสั่งศาลชั้นต้นว่าคดีมีมูลและรับเป็นคดีอาญา และวันที่ 2 ธ.ค.63 ศาลอุทธรณ์ได้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ก่อนจะมีการสืบพยานศาลได้ให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยหาทางออกร่วมกัน สุดท้าย ครูปรีชา กับ หมวดจรูญ สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ โดยให้ หมวดจรูญ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อขอโทษ ครูปรีชา ออกสื่อภายในวันที่ 16 ธ.ค.63 ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 20.45 น.วันที่ 16 ธ.ค.63 ร.ต.ท.จรูญ พร้อมด้วย นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความส่วนตัว ได้ตั้งโต๊ะขออภัย ครูปรีชา ผ่านสื่อมวลชน ที่บ้านพักส่วนตัว เลขที่ 299/110 หมู่บ้านศิริชัยวังสารภี ซอย 5 หมู่ 8 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

นายษิทรา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.62 ก่อนที่จะมีคำตัดสินคดีหวย 30 ล้าน ตอนนั้นหมวดจรูญ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่บ้านพัก และได้มีการพูดให้สัมภาษณ์ว่า “คนที่เลวโดยสันดารการศึกษาก็ไม่ช่วยอะไร” แต่ปรากฏว่า ครูปรีชา ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีว่า หมวดจรูญ ได้มีการกล่าวถึง ครูปรีชา หรือเปล่า ซึ่งคดีก็สู้กันมา ศาลชั้นต้นท่านบอกว่า ครูปรีชา ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะหมวดจรูญ ไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็น ครูปรีชา

แต่เมื่อถึงชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็บอกว่า เรื่องนี้อาจจะทำให้ ครูปรีชา เสียหาย เพราะว่าในการให้สัมภาษณ์มีการพูดถึงเรื่องหวย 30 ล้านบาท และมีการพูดถึง ครูปรีชา ด้วย ซึ่งคำพูดนั้นอาจจะหมายถึง ครูปรีชา ก็ได้ จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นได้พิจารณา แต่ระหว่างที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีการพิจารณา ท่านก็ได้มีการไกล่เกลี่ย เพราะว่าท่านคงจะมองเห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย

ดังนั้นท่านจึงได้ไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายว่าอยากให้เรื่องนี้มันจบไป ซึ่ง หมวดจรูญ ก็บอกว่าไม่ได้หมายถึง ครูปรีชา แต่ศาลท่านก็บอกว่าอะไรที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าผ่านไปได้ก็ขอให้ผ่านไป ให้เราไปมุ่งเน้นคดีหลักกันจะดีกว่า เช่นคดีที่มีการดำเนินคดีกันคือคดีหลักเรื่องหวย 30 ล้าน หรือเรื่องคดีที่จะไต่สวนในวันพรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) คือเรื่องของการฟ้องเท็จ ซึ่งตัว หมวดจรูญ ก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ไม่ทำให้เสียเวลาของศาล และประหยัดเวลาในการที่จะได้อยู่กับครอบครัว จึงได้รับปากว่าจะจัดแถลงข่าวเพื่อขออภัย ครูปรีชา จึงเป็นที่มาของการแถลงข่าวในวันนี้

ต่อมา หมวดจรูญ ได้พูดขออภัย ครูปรีชา โดยใช้ถ้อยคำตามที่ตกลงกันไว้ว่า “ตามที่ข้าพเจ้าเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2562 ว่า คนที่เลวโดยสันดานเนี้ยะ การศึกษามันช่วยไม่ได้หรอกนะ หากข้อความที่ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้ นายปรีชา ใคร่ครวญ ได้รับความเสียหาย ข้าพเจ้าขออภัย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันพรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) จะมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายษิทรา ตอบว่า คดีนี้ตามรายงานพรุ่งนี้ ครูปรีชา ก็คงจะต้องไปถอนฟ้องตามที่ได้กำหนดกันเอาไว้ คือเรื่องนี้ไม่มีใครถูกและไม่มีใครผิด ซึ่งหมวดจรูญ ก็ได้กล่าวขออภัย ส่วน ครูปรีชา ก็ไปถอนเรื่องออก ก็จบไปแล้วอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนในวันนพรุ่งนี้ก็จะมีการไต่สวนกันต่อเกี่ยวกับการที่ หมวดจรูญ ฟ้อง ครูปรีชา และทนายความส่วนตัว ในข้อหาร่วมกันฟ้องเท็จ ซึ่งฝ่าย ครูปรีชา ได้ขอเลื่อนมาหลายครั้งแล้ว พรุ่งนี้ก็คิดว่าคงจะไม่ได้เลื่อนอีกแล้ว หลังจากพรุ่งนี้ไต่สวนแล้วเสร็จ ศาลก็คงจะมีคำสั่งว่าคดีจะมีมูลหรือไม่ ถ้าหากมีมูลก็จะเข้าสู่ชั้นพิจารณา เอาหลักฐานของทั้งสองฝ่ายมานำเสนอต่อศาล หากศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิด ครูปรีชา และทนายความก็จะได้รับโทษ แต่หากศาลพิพากษาว่าไม่ผิด ก็ยกฟ้องไป ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับพยานและหลักฐานต่างๆ

และสิ่งที่เรามองว่าการที่ ครูปรีชา มาฟ้อง หมวดจรูญ ว่ายักยอกทรัพย์ รับของโจร เรามองว่ามันเป็นเท็จ และการที่เราฟ้องไปเพราะเรารู้ว่าทางทนายความและ ครูปรีชา ทราบดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเท็จเราถึงฟ้อง ซึ่งเรามีความเชื่อเช่นนี้เราถึงต้องใช้สิทธิ์ทางศาล แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องรอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน

ส่วนเรื่องของคดีหลัก ทราบว่าทางฝ่ายของ ครูปรีชา ได้มีการขอขยายฎีกาอยู่ ส่วนศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์จะรับคำร้องอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ จะต้องรอให้ส่งฎีกาไปก่อนเราจึงจะรู้ว่าท่านจะอนุญาตหรือรับรองหรือไม่ หากไม่รับรองคดีหลักก็จบลงที่ศาลอุทธรณ์ แต่ถ้าหากรับรองคดีก็ขึ้นสู่ศาลฎีกา ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน