วันที่ 11 ต.ค. ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เขตจตุจักร ศาลนัดพร้อม คดีที่ พ.217/2560 พ.218/2560 พ. 2031/2559 พ.2033/2559 พ.2034/2559 พ.2035/2559 พ.2036/2559 พ.2037/2559 รวม 9 สำนวน ที่นายมิตสุโตกิ ชิเกตะ อายุ 27 ปี ผู้ร้อง โดยนายก้อง สุริยมณฑล ผู้รับมอบอำนาจ เรื่องรับรองบุตร, อำนาจปกครอง กรณีนายมิตสุโตกิขอให้ศาลมีคำสั่งให้เด็กที่เกิดจากการว่าจ้างตั้งครรภ์ทั้ง 12 คนเป็นบุตรโดยชอบธรรมของผู้ร้อง

ภายหลังการพิจารณาคดี ศาลอ่านกระบวนการพิจารณาคดีว่า ศาลสอบทนายผู้ร้องเกี่ยวกับเรื่องไปติดต่อสำนักงานเทคโนโลยีของสำนักงานศาลยุติธรรมในการสืบพยานที่อยู่ต่างประเทศ ทางระบบการประชุมทางจอภาพ ทนายผู้ร้องยื่น คำแถลงและแถลงประกอบเอกสารว่า ได้ไปติดต่อประสานงานกับสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานศาลยุติธรรม เกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบสัญญาณโทรคมนาคมแล้ว โดยสถานที่การสืบพยานผู้ร้องประสงค์จะใช้ห้องประชุมของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานโตเกียว ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว พร้อมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ร่วมเป็นสักขีพยานในการสืบพยานดังกล่าวด้วย
เบื้องต้นผู้ร้องได้ติดต่อประสานงานที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานโตเกียว และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว แล้ว ทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าวไม่ขัดข้องที่จะดำเนินการให้พร้อมทั้งแจ้งว่ามีวันว่างคือ วันที่ 5 และวันที่ 6 ก.พ. 2561 ผู้ร้องจึงขอให้ศาลนัดสืบพยานผ่านระบบการประชุมทางจอภาพในวันที่ 6 ก.พ. 2561 โดยให้วันที่ 5 ก.พ. 2561 เป็นวันทดสอบระบบและความพร้อมก่อนการสืบพยานจริง

ทนายผู้ร้องแถลงเพิ่มเติมว่า ด้วยการสืบพยานดังกล่าวไม่จำเป็นต้องใช้พยานเอกสารสื่อประกอบคำเบิกความ เพียงแต่จะให้ผู้ร้องยืนยันสำเนาเอกสารเท่านั้น โดยศาลแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่าค่าใช้จ่ายการสืบพยานบุคคล ระบบการประชุมทางจอภาพในกรณีพยานอยู่ต่างประเทศ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการเตรียมระบบ ค่าใช้จ่ายสักขีพยาน จึงให้ผู้ร้องว่าเงินจำนวน 10,000 บาทต่อศาลตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันนี้

ศาลนัดไต่สวนพยานที่อยู่ต่างประเทศผ่านทางจอภาพในวันที่ 6 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น. มีหนังสือแจ้งสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อประสานกับกระทรวงการต่างประเทศให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
อนึ่ง จากการตรวจสำนวนพบว่าผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนเดินทางไปตรวจดูสภาพความเป็นอยู่ของบุตรผู้ร้องที่ประเทศกัมพูชาและประเทศญี่ปุ่นรายละเอียดปรากฏตามคำร้อง ฉบับลงวันที่ 13 ก.ค. 2560

พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวศาลเคยมีคำสั่งว่าจะสั่งต่อเมื่อทำการสืบพยานบุคคลผู้ร้องเสร็จ แต่เนื่องจากคดีนี้ยังคงเหลือเพียงพยานอีกเพียงปากเดียวคือตัวผู้ร้อง ซึ่งจะทำการสืบพยานทางระบบการประชุมทางจอภาพที่พยานอยู่ต่างประเทศในวันที่ 6 ก.พ. 2561 เนื่องจากการกำหนดสืบพยานดังกล่าวยาวนาน เพื่อไม่ให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างล่าช้า และเพื่อประโยชน์แก่การมีคำพิพากษาหรือคำสั่งจึงเห็นควรให้เจ้าหน้าที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนเดินทางไปสอดส่องตรวจดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้เยาว์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และประเทศกัมพูชาประเทศละ 2 คนโดยให้ผู้ร้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดและให้เจ้าหน้าที่นั้นๆ ทำรายงานเสนอต่อศาลต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เด็กทั้ง 12 คน ปัจจุบันอายุ 2 ขวบ อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ที่ดูแลเป็นอย่างดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
——-

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน