กักตัว กู้ภัย-กู้ชีพ-หมอ-พยาบาล-ตำรวจ หลายสิบคน เหตุออกรับผู้บาดเจ็บประสบอุบัติเหตุ ก่อนตรวจพบภายหลังว่าป่วยเป็นโควิด
วันที่ 25 เม.ย. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก กู้ภัยกกไทร อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ งดปฏิบัติหน้าที่ ออกรับผู้ป่วย หรือ ผู้บาดเจ็บ และงดปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือต่างๆ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยชี้แจงว่า จากเคสเมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณ 21.40 น. เกิด อุบัติเหตุที่บ้านหวาย จึงได้ออกไปให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลหล่มสักต่อมาได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า ผู้บาดเจ็บมีผลโควิดเทสเป็นบวก
ต้องทำให้ทีมงานเราอาสากู้ภัยกกไทร “อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์” ที่ไปช่วยเหลือคนเจ็บ ทุก ๆ คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีความสุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด ดังนั้น พวกเราจึงต้องกักตัวและงดปฏิบัติการออกรับเคส จึงแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน ขอตัวไปทำตามระเบียบ สบค. แล้วจะกลับมาให้บริการใหม่
จากการสอบถามทราบว่า อาสากู้ภัยกกไทร อำเภอหล่มสัก รับแจ้งจาก สภ.หล่มสัก ร่วมตรวจสอบและให้การช่วยเหลือผู้ได้รับอุบัติเหตุ จักรยานยนต์ชนกัน มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย จึงได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุเพื่อให้การช่วยเหลือ โดยไม่ทราบว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และมาทราบอีกครั้งตอนที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหล่มสักติดต่อมา ในช่วงดึกของวันเดียวกัน จึงประกาศให้อาสาสมัครที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำการกักตัว เป็นเวลา 14 วัน และหยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
นอกจากนั้น สภ.หล่มสัก ได้แจ้งว่ากรณีดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ 2 ราย จึงให้กักตัวเพื่อรอดูอาการ 14 วัน พร้อมทั้งดำเนินการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อทั้งในและโดยรอบสถานีตำรวจภูธรหล่มสัก และขอให้ประชาชนที่จะไปติดต่อที่ สภ.หล่มสัก ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิดอย่างเคร่งครัด
ด้าน นายแพทย์ชัยวัฒน์ ทองไหม สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นได้รับรายงานแล้ว ทราบว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่มีอาการมาก่อนเลย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนไทม์ไลน์ ในส่วนของผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หล่มสัก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและพยาบาลที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายนี้ได้กักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ
ในส่วนผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดที่เชื้ออาจจะอยู่ในระยะฟักตัวก็จะขอทำการตรวจหาเพื่อเชื้อ รวมทั้งได้สั่งการให้ดำเนินการพ่นยาฆ่าเชื้อในกรณีที่ผู้ป่วยรายดังกล่าวรวมทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดไปในสถานที่ต่าง ๆ ด้วย แต่ในเบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานจำนวนผู้ที่เสี่ยงและสัมผัสกับผู้ป่วยดังกล่าวว่ามีกี่ราย
