‘วราวุธ’ชื่นชมทุกฝ่าย ร่วมเคลียร์อวนยักษ์ติดปะการังเกาะโลซิน พบปะการังเสียหาย 550 ตร.ม. เดินหน้าฟื้นฟู เร่งตามหาคนผิด จ่อดันเกาะโลซินพื้นที่คุ้มครองทางทะเล

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวว่า นับตั้งแต่พบอวนยักษ์ติดแนวปะการังบริเวณเกาะโลซิน จ.ปัตตานี ตนได้เร่งสั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ประสานและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำทีมเก็บกู้อวนยักษ์ลงปฏิบัติการในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 64 และเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 64

โดยการปฏิบัติการครั้งได้ ได้มีการสนธิกำลังร่วมกับนักดำน้ำอาสาสมัครกว่า 40 คน ซึ่งเป็นนักดำน้ำระดับ Instructor 14 คน และระดับ Dive Master 6 คน และได้รับการสนับสนุนจาก กองทัพเรือภาคที่ 2 นำทีมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใต้น้ำ 15 นาย พร้อมยุทโธปกรณ์ เรือหลวงราวี เรือ ต 991 เครื่องบินตรวจการณ์และเฮลิคอปเตอร์ อย่างละ 1 ลำ พร้อมทีมแพทย์สนามกรณีฉุกเฉิน เพื่อดูแลอาสาสมัครนักดำน้ำที่เข้าร่วมภารกิจ และยังมีทีมนักวิชาการ จากหลายหน่วยงาน ร่วมกันสำรวจประเมินความเสียหายแนวปะการัง ซึ่งตนกำชับให้เตรียมอากาศ Nitrox ให้นักดำน้ำทุกท่านได้ใช้ ในทุกไดฟ์ตลอดการปฏิบัติการ เนื่องจากระดับน้ำลึกพอสมควร

 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส.

ภายหลังภารกิจเสร็จสิ้น ตนได้กำชับนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. ติดตามและกำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสืบหาแหล่งที่มาของอวน และประมาณการค่าเสียหายของแนวปะการังและค่าใช้จ่ายจากการปฏิบัติการครั้งนี้ และร่งรัดการประกาศกฎกระทรวงกำหนดให้เกาะโลซิน เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ตามมาตรา 20 แห่ง พรบ. ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา

ทั้งนี้ ตนต้องขอขอบคุณภาพถ่ายจาก iManCamera ที่เป็นแนวหน้าในการถ่ายภาพแนวปะการัง นำมาสู่ปฏิบัติการช่วยชีวิตปะการังเกาะโลซินในครั้งนี้ และขอบคุณ Just Dive Thailand ด้วย รวมถึง นักดำน้ำอาสาสมัคร หน่วยงานกองทัพเรือ ศรชล. รวมทั้ง อาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจจนทำให้ภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี สุดท้ายตนต้องฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคน

“ขึ้นชื่อว่า ขยะ ก็คงไม่มีใครต้องการ ปะการังเองก็ไม่ต้องการขยะอวนนี้เช่นกัน การลักลอบทำประมงอย่างขาดจิตสำนึกทำลายปะการังไม่อาจรับได้ เศษขยะยิ่งตกค้างมากเท่าไหร่ แสดงถึงจิตสำนึกที่ตกต่ำของผู้กระทำมากเท่านั้น”

นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเสริมว่า ทีมปฏิบัติเก็บกู้อวนเกาะโลซินได้เดินทางจากท่าเทียบเรือของฐานทัพเรือสงขลาเมื่อค่ำวันที่ 18 มิถุนายน 2564 โดยได้ลงดำน้ำเก็บกู้อวน 2 วัน สามารถเก็บกู้อวนขึ้นมาได้ทั้งหมด รวม 800 กิโลกรัม โดยอวนมีความยาว 200 เมตร กว้าง 50 เมตร และได้ลงดำน้ำครั้งที่ 3 เพื่อประเมินความเสียหายของปะการัง และซ่อมแซมกิ่งที่แตกหักเสียหาย และเดินทางกลับถึงฐานทัพเรือสงขลา ทรภ. เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564

นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

จากการสำรวจและประเมินเบื้องต้น อวนได้ปกคลุมแนวปะการังกว่า 2,750 ตารางเมตร ปะการังได้รับความเสียหายประมาณ 550 ตารางเมตร ลักษณะความเสียหายหลัก คือ ปะการังซีดจาง ฟอกขาวบางส่วน คิดเป็นร้อยละ 10 ปะการังแตกหัก ได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังแผ่น ปะการังจาน คิดเป็นร้อยละ 5 และปะการังมีรอยถลอก เสียดสี คิดเป็นร้อยละ 5 ของพื้นที่ปกคลุมทั้งหมด นอกจากปะการังยังมีผลกระทบอื่นๆ ประกอบด้วย ดอกไม้ทะเล และสัตว์หน้าดิน จำพวกปูและหอยเม่น ถูกทับและพันเกี่ยว

อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้กำหนดแผนการฟื้นฟูทันที โดยจะดำเนินการปลูกทดแทนในพื้นที่เสียหาย สำหรับการดำเนินการทางกฎหมาย กรมฯ ได้มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 (ปัตตานี) เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อเจ้าพนักงานสอบสวนสืบหาผู้กระทำผิด ซึ่งคาดว่าเป็นเรือประมงเครื่องมือประมงอวนล้อมหิน

หากพบมีการทำประมงในพื้นที่จะมีความผิดตามคำสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เรื่องพื้นที่คุ้มครองปะการังในบริเวณพื้นที่กองหินใต้น้ำ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เนื่องจาก ทำให้ปะการังเสียหาย แตกหักและตาย มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีกิจการพิเศษและรองหัวหน้าภาควิชา ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การเก็บกู้อวนที่เกาะโลซินถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้านการดูแลแนวปะการังของไทย ที่ทุกฝ่ายต่างเห็นความสำคัญและร่วมมือกันจนสามารถดำเนินการเก็บกู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลชายฝั่งที่สุด อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเราต้องสร้างความร่วมมือด้านการลาดตระเวนเพิ่มขึ้น เพื่อดูแลและจัดการการทำประมงที่ผิดกฎหมาย และสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ คือ แรงกระตุ้นจากกระแสสังคม และประชาชนที่ช่วยกันเห็นหูเห็นตาในการดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเล ซึ่งหากทุกคนช่วยกันเช่นนี้ ทรัพยากรทางทะเลของประเทศจะเพิ่มความสมบูรณ์ในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ต่อไป ดร. ธรณ์ กล่าวแสดงความมั่นใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน