จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Krittanut Kaewnoi ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความเตือนภัยถึงเหตุการณ์ที่น้องสาวของตัวเองประสบเหตุถูกวัตถุที่มีลักษณะคล้ายลวดหรือสายไฟพาดเข้าบริเวณลำคอระหว่างขับรถจักรยานยนต์เข้าซอย 8 ถ.เชียงใหม่-ลำพูน ข้างสำนักงานแขวงกาวิละ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ทำให้ได้รับบาดเจ็บและต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา

โดยนอกจากเตือนภัยให้ผู้ขับขี่แล้ว ยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา และพบว่าเหตุดังกล่าวน่าจะเกิดจากสายเคเบิ้ลที่จัดเก็บไม่เรียบร้อยและถูกปล่อยให้ห้อยระโยงระยางจนเกิดเหตุดังกล่าว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุดังกล่าว พบว่าสายเคเบิ้ลที่ห้อยระโยงระยางจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บนั้น ได้ถูกจัดเก็บให้เป็นระเบียบแล้ว ซึ่งจากการสอบถามผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงทราบว่า หลังจากที่เรื่องดังกล่าว มีการนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดียและถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อช่วงเช้าวันนี้ทางเทศบาลนครเชียงใหม่โดยเจ้าหน้าที่แขวงกาวิละได้ทำการจัดเก็บสายเคเบิ้ลให้เป็นระเบียบแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำและเป็นอันตรายกับผู้ที่ขับขี่รถผ่านไปมาในซอยดังกล่าวอีก

นายบรรจักร ตาละสา อายุ 41 ปี ชาวบ้านที่อยู่อาศัยย่านจุดเกิดเหตุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าผู้ที่ประสบเหตุเป็นใคร แต่ที่ผ่านมา สายเคเบิ้ลภายในซอยได้ห้อยระโยงระยางไร้ระเบียบมานานแล้ว เหมือนกับอีกหลายจุดทั่วเมืองเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดเหตุขึ้นจึงไม่มีผู้สนใจ จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้เช้าวันนี้ทางเจ้าหน้าที่เทศบาลนครเชียงใหม่ ต้องเข้ามาจัดเก็บสายเคเบิ้ลให้เป็นระเบียบ โ

นายบรรจักร กล่าวต่อว่า โดยเจ้าของสายเคเบิ้ลตัวจริงยังไม่ได้ออกมาแสดงตัวและแสดงความรับผิดชอบใดๆ เลย ซึ่งหากเป็นไปได้ก็ขอเสนอแนะว่าการวางสายเคเบิ้ลควรจะต้องทำให้เป็นระเบียบและหมั่นตรวจสอบบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น

ด้าน จ่าเอกอภิสาร ยานุช ทนายความ และเจ้าของแฟนเพจเฟซบุ๊กให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายสำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และใกล้เคียง ได้แสดงความเห็นว่า กรณีนี้หากสายเคเบิ้ลดังกล่าวเป็นของหน่วยงานรัฐหรือเอกชนใดๆ จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งในส่วนของผู้เสียหายเบื้องต้นแนะนำให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งรวบรวมใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล และทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากเหตุดังกล่าว เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานเรียกร้องกับผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อไป

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน