พ่อใจสลาย! ลูกชายว่าที่วิศวะ ถูกสัตวแพทย์ขับเก๋งชนดับ ช็อกเยียวยา ทำไมประเมินค่าชีวิตคนเท่านี้

วันที่ 8 มิ.ย.65 นายนรินทร์ พลายด้วง อายุ 54 ปี หัวหน้าสำนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสาขาลำภูรา กองบริหาร ฝ่ายปฏิบัติการภาคใต้ เข้าร้องทุกข์กับผู้สื่อข่าว หลัง นายชนกานต์ พลายด้วง หรือกัปตัน อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ซึ่งเป็นลูกชาย ถูก สัตวแพทย์ ขับรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา

นายนรินทร์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุลูกชายขี่รถจยย.ยามาฮ่า สีดำ ทะเบียน 1กข-412 ตรัง บนถนนสายตรัง-ปากเมง ระหว่างกำลังเลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัย ได้ถูกรถเก๋งฮอนด้า สีขาว ซึ่งมี น.ส.ปริญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เพิ่งเรียนจบการศึกษาคณะสัตวแพทย์ และเตรียมที่จะเข้าทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พุ่งชนจนร่างลูกชายกระเด็นก่อนจะเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นว่าลูกชายขี่รถจยย.และกำลังเลี้ยวเข้าประตูมหาวิยาลัย จากนั้นรถคู่กรณีซึ่งมาด้วยความเร็วก่อนจะพุ่งชนรถ จยย.ร่างกระเด็นกว่า 30 เมตร ปรากฏว่าคู่กรณีไม่ให้ความเป็นธรรมในเรื่องของการเยียวยา

นายนรินทร์ กล่าวต่อว่า หลังจากเกิดเหตุก็ไม่ได้เจอคู่กรณีเลยจนถึงวันเผาศพ และเจอกันอีกทีวันที่ 21 พ.ค. ซึ่งขณะนั้นตนกำลังติดตามคดีอยู่ จึงได้ทราบว่าคู่กรณีเป็นใครก่อนจะมาแสดงความเสียใจให้กับครอบครัว โดยพ่อฝ่ายคู่กรณีเป็นคนมาพูดว่าคู่กรณีเสียใจตลอดหลังจากเกิดเหตุก็นอนไม่หลับ ก่อนจะมอบเงินทำบุญย้อนหลังให้ครอบครัว 20,000 บาท ส่วนเงินค่าเยียวยาก็ให้ตนเป็นคนกำหนดว่าต้องการเรียกเท่าไร ตนจึงให้เขาเป็นคนคิดเองว่าหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดกับลูกของตัวเองจะต้องการเงินเยียวยาจำนวนเท่าไร ให้พิจารณาด้วยจิตมนุษยธรรม เพราะคู่กรณีที่พุ่งชนลูกก็มีน้องชายที่อายุรุ่นเดียวและเรียนมัธยมด้วยกันกับลูกชายตน

นายนรินทร์ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นทางคู่กรณีก็แจ้งตนว่าต้องการจ่ายเยียวยาให้กับครอบครัวเป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งตนมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและขอให้เป็นเรื่องของศาล ลูกชายตนมีความฝันอยากเป็นวิศวกร อยากทำงานเลี้ยงดูพ่อ ซึ่งตนและลูกชายก็อยู่ด้วยกันเพียง 2 คนมาตลอดและมีลูกชายคนเล็กอีก 1 คนเรียนอยู่ กทม. ผู้ตายเป็นคนขยันระหว่างเรียนก็ทำงานหาเงินไปด้วย เงินเดือนๆ แรกก็มอบให้ตน รู้สึกตื้นตันซาบซึ้งที่ลูกมีความกตัญญู

ความรู้สึกแรกหลังจากทราบข่าวก็ช็อก ได้แต่ภาวนาให้ลูกปลอดภัย แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด และเมื่อเจอคู่กรณีก็หวังความมีน้ำใจในฐานะพ่อเพื่อนลูก ในฐานะคนบ้านเดียวกัน ด้วยหวังว่าจะหยิบยื่นไมตรีเหมือนที่เราหยิบยื่น แต่เมื่อได้รับคำตอบจากเงินเยียวยาก็ช็อกครั้งที่ 2 อีก ทำไมเขาถึงประเมินค่าลูกชายตน ซึ่งกำลังจะเป็นวิศวกรในอนาคต รวมถึงตนด้วยดูเหมือนไร้ค่า ก็ได้ยื่นคำขาดว่าไปคุยกันที่ศาลให้ศาลตัดสินดีกว่า

นายนรินทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่มาร้องทุกข์ต่อสื่อในวันนี้ ก็อยากให้เป็นหน้าที่ของศาลช่วยชี้ขาดว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้ควรจะรับผิดชอบจำนวนเท่าไร เพราะไม่สามารถเอาชีวิตของลูกกลับคืนมาได้ และจะได้เป็นบทเรียนของสังคมด้วยว่าหากเกิดกรณีเช่นนี้ไม่ว่าผู้เสียหายหรือผู้ประสบเหตุเรามีมาตรฐานกฎหมายเป็นอย่างไร ก็ได้แต่หวังว่ากระบวนการกว่าจะไปถึงชั้นศาลให้เป็นไปตามกระบวนของกฎหมาย ไม่มีอะไรทำให้บิดเบี้ยวให้เป็นไปตามทำนองคลองธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน