ผู้ว่านนทบุรี ผลักดัน อินทผลัม ผลไม้ประจำจังหวัด สร้างรายได้เกษตรกรมหาศาล เร่งส่งผลผลิตออกจากสวน สู่ตลาดทั้งประเทศ ไปต่างประเทศ ให้มีคุณภาพ

วันที่ 28 มิ.ย.2565 นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผวจ.นนทบุรี เป็นประธานเปิดกิจกรรม ชม ชิม ผลผลิตอินทผลัมนนทบุรี ที่ศูนย์เรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร อ.บางใหญ่ สวนปามี 98 ต.บ้านใหม่ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และผลักดันผลผลิตอินทผลัม ซึ่งเป็นผลไม้ของจังหวัดนนทบุรีที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดนนทบุรี โดยมีนายวิทยา ชพานนท์ นายอำเภอบางใหญ่ นายสุรสีห์ ศรีอินทร์สุทธิ์ ประธานหอการค้าจังหวัดนนทบุรี เกษตรจังหวัดนนทบุรีและเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โดยทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรี ได้คัดเลือกสวนปามี 98 ของนายสุเทพ กังเกียรติกุล เจ้าของสวนอินทผลัมและเป็นประธานศูนย์เรียนรู้เชิงเกษตร ซึ่งใช้พื้นที่จำนวน 19.5 ไร่ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ เป็นสถานที่เพาะปลูกอินทผลัมหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่สายพันธุ์บาฮี สายพันธุ์ G2 สายพันธุ์โคไนซี่

นับได้ว่าเป็นสวนอินผลัมแห่งใหญ่ลำดับสองของจังหวัดนนทบุรี โดยผลผลิตที่ออกจากสวนสู่ตลาดทั้งในประเทศ และนอกประเทศเป็นผลผลิตที่ได้คุณภาพ และมีการจำหน่ายต้นพันธุ์ และในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ของทุกปี อินทผลัมจะเริ่มให้ผลผลิต จำหน่ายสู่ตลาด

นายสุจินต์ เผยว่าจ.นนทบุรี เป็นแหล่งผลิตผลไม้มีคุณภาพ ที่มีราคาสูงหลายชนิด ซึ่งนอกจากทุเรียนนนท์จะเป็นราชาของผลไม้แล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศ ทำให้จังหวัดนนทบุรีคัดเลือกผลไม้ที่ดีมีคุณภาพและได้มาตรฐาน มาสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคภายใต้แบรนด์ “นนทบุรีการันตี”

อินทผลัมถือเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่ได้รับมาตรฐานการันตีของทางจังหวัดนนทบุรีด้วย ถึงแม้ว่าจำนวนผลผลิตอินทผลัมในจังหวัดนนทบุรีตอนนี้จะไม่มาก เนื่องจากจำนวนพื้นที่ปลูกในจังหวัดค่อนข้างมีจำกัดจากราคาที่ดินที่มีราคาแพง แต่เกษตรกรชาวสวนอินทผลัมสามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายอินทผลัมได้ทั้งผลสด ต้นพันธุ์ และผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้ในแต่ละปีมีมูลค่าที่สูงมาก

โดยราคาขายของอินทผลัมสดอยู่ที่ราคา 500 – 600 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกับเกษตรกรที่เพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรีผลักดันให้มีศูนย์เรียนรู้สำหรับเกษตรกร อินทผลัมโดยตรงเพื่อขยายกำลังการผลิตให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่ไปกับทุเรียนนนท์ต่อไปในอนาคต ถือเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามองเรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่จิ๋วแต่แจ๋วไม่แพ้ทุเรียนนนท์เช่นกัน

นายสุเทพ กล่าวว่าด้วยความที่ครอบครัวตนเป็นเกษตรกรชาวสวนทำให้ตนซึมซับความชอบมาตั้งแต่เด็ก โดยตนจะเลือกปลูกผลไม้ที่ได้ราคาดีหรือออกผลผลิตนอกฤดูกาลได้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งในปี 2554 ตนได้เริ่มหันมาปลูกอินทผาลัมอย่างจริงจัง

โดยเริ่มศึกษาเรียนรู้พัฒนาลองผิดลองถูกอยู่หลายปี จนพบว่าอินทผาลัมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีจะมีรสชาติที่แตกต่างจากจังหวัดอื่น เนื่องจากดินในจังหวัดนนทบุรีเป็นดินสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ตกตะกอนทับถมมาหลายร้อยปีจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ทำให้ผลไม้ต่างๆที่เพาะปลูกในจังหวัดนนทบุรี มีรสชาติที่ดีที่สุดเช่นทุเรียนนนท์ มังคุดนนท์ กะท้อนบางกร่าง และอินทผาลัม เป็นต้น

ตนได้ปรึกษาหารือกับทางประธานหอการค้าจังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ช่วยผลักดันให้ทางหอการค้าของจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ สนับสนุนให้อินทผลัมเป็นผลไม้ส่งออกเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ต่อไปในอนาคต เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าประเทศแถบอาหรับซึ่งเป็นต้นตำรับในการเพาะปลูกผลไม้ชนิดนี้

ในปัจจุบันยังให้การยอมรับว่าอินทผลัมของไทยเรามีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมกว่าผลผลิตจากประเทศอื่น ๆ ทำให้มีการสั่งซื้ออินทผลัมจากไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลผลิตมีไม่เพียงพอกับความต้องการของต่างประเทศ

ถ้าทางหอการค้าช่วยส่งเสริมและรัฐบาลผลักดันให้อินทผลัมเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกตัวใหม่ได้ ก็จะสร้างรายได้ให้กับชาวสวนอินทผลัมตามมา และส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนหันกลับเพาะปลูกอินทผลัมเพิ่มขึ้นทั่วประเทศเนื่องจากได้ผลตอบแทนราคาดีและเป็นที่ต้องการของต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาหรับ ซึ่งจะเป็นช่องทางในการสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกทาง ซึ่งปีที่ผ่านมาสวนอินทผลัมของตนสามารถสร้างรายได้กว่า 12 ล้านบาทต่อปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน