เพื่อนร่วมรุ่นตำรวจ มือสังหารหมู่สุดช็อก หลังทราบเรื่อง เผยช่วงเวลาที่ทำงานร่วมกัน ไม่มีวี่แววเล่นยา นิสัยดี ไม่ใจร้อน ไม่มีใครร้องเรียน หรือพฤติกรรมนอกลู่

วันที่ 7 ต.ค.2565 เพื่อนตำรวจร่วมรุ่นกับส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อดีตตำรวจที่ก่อเหตุสังหารหมู่ที่จ.หนองบัวลำภู เผยว่า ตนกับส.ต.อ.ปัญญารับราชการพร้อมกันที่สน.ยานนาวา กรุงเทพ หลังเรียนจบจากโรงเรียนนายสิบตำรวจรุ่น 58 โดยผู้ก่อเหตุอยู่ตำแหน่งป้องกันและปราบปราม หรืองานสายตรวจ ต้องแต่งเครื่องแบบพบประชาชน มีคู่เวรเป็นรุ่นพี่ ตลอดเวลาทำงาน ไม่เคยเห็นยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

ส่วนนิสัยส่วนตัวทำงานดี ไม่เคยลา หรือขาด พูดจากับเพื่อนก็ปกติ เลิกงานก็อยู่แต่ในห้อง ที่แฟลตตำรวจ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ค่อยออกไปสังสรรค์ นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงคนเดียว บางทีก็ขี่จยย.ไปข้างนอก ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราตลอดที่ทำงาน จนย้ายไปทำงานที่สน.ลุมพินีก็ขาดการติดต่อไป

ทั้งนี้เจ้าตัวก็มีคนรักบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ไม่ได้มีครอบครัวจริงจัง ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกันนั้น ก็ไม่มีปัญหากับผู้บังคับบัญชา หรือถูกร้องเรียนจากประชาชน ไม่เคยปรับทุกข์หรือบ่นกับเพื่อน ไม่เคยเล่าชีวิตส่วนตัว คุยแต่เรื่องทำงาน ไม่ได้เข้ากลุ่มไลน์เพื่อนร่วมรุ่น ส่วนปืนนั้นมีกระบอกเดียว ซื้อมาด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องเล่นปืนนั้น ไม่ทราบข้อเท็จจริง ตอนย้ายไปหนองบัวลำภู ก็พยายามมีคนติดต่อ แต่ติดต่อไม่ได้ จนมารู้ข่าวสลดขึ้น

“ทุกคนตกใจและเสียใจมาก เพราะตอนทำงาน ก็ไม่ได้มีพฤติการณ์ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือฉุนเฉียว ไม่มีใครคิดว่าจะก่อเหตุแบบนี้ ไม่รู้ว่าจุดเปลี่ยนของชีวิตคืออะไร จึงเป็นอย่างนี้”

ด้านอดีตผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุ ขณะปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับหมู่ งานสืบสวนสน.ลุมพินี ระบุว่า ขณะที่ผู้ก่อเหตุทำงานอยู่ที่โรงพักได้ทำหน้าที่เป็นพลขับให้กับรองผู้กำกับการสืบสวนของสถานีในขณะนั้น และมีโอกาสได้พูดคุย หรือ ร่วมงานกันน้อยมาก แต่จากการสอบถามไปยังรองผู้กำกับการสืบสวนในขณะนั้น ทราบว่าเจ้าตัวไม่มีพฤติการณ์ที่ต้องสงสัยว่าจะเสพหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

เนื่องจากในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นพลขับไม่เคยแสดงอาการใดๆ แต่พบว่าเจ้าตัวมีปัญหาเรื่องการทำงานอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ หรือบางงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาได้ เพราะไม่สามารถทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ จึงถูกมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นคนเดินเอกสาร คาดว่าทำให้เจ้าตัวเกิดความเครียดจนอาจหวนกลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก ก่อนที่จะทำเรื่องขอย้ายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภูมิลำเนา ที่จ.หนองบัวลำภู

ส่วนกรณีเรื่องของยาเสพติดได้มีการสุ่มตรวจผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนตามโครงการตำรวจสีขาวหลายครั้งแต่ก็ไม่พบสารเสพติดในร่างกายของผู้ก่อเหตุคนดังกล่าว ซึ่งไม่ทราบว่าเจ้าตัวจะใช้วิธีการหลบเลี่ยงอย่างไร








Advertisement

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน