เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 ม.ค. ที่สน.บางเขน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท.พ.ต.อ.อำนาจ อินทรศวร ผกก.สน.บางเขนพร้อมเจ้าหน้าที่บช.ทท. สน.บางเขนร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายกัน ชิน เชท อายุ 38 ปี สัญชาติมาเลเซีย ผู้ต้องหาใช้กดเงินของแก๊งคอลเซนเตอร์ ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่จ.46/2561 ลงวันที่29 ม.ค.61 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นผู้อื่น มีไว้เพื่อนำออกใช้ ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือของประชาชน โดยจับกุมได้เมื่อวันที่29ม.ค.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับทางสน.บางเขน เมื่อวันที่ 24 ม.ค.หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรมาหลอกลวงอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทโทรศัพท์แห่งหนึ่ง อ้างว่าผู้เสียหายจะต้องถูกระงับเบอร์มือถือเนื่องจากไปเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด โดยให้โอนเงินมาตรวจสอบ ทางผู้เสียหายหลงเชื่อถูกหลอกให้โอนเงินไป 2 ครั้ง ในวันที่ 18 ม.ค.กับวันที่ 23 ม.ค. ครั้งแรกโอนเงินไป 6 แสนกว่า ครั้งที่ 2 โอนไปอีก 4 แสนกว่า รวมทั้งหมด 1,058,918 บาท หลังผู้เสียหายแจ้งความ ทางสน.บางเขน ฝ่ายสืบสวนออกสืบและขยายผล พบภาพผู้ต้องหาตระเวนกดเงิน เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังจนพบตัวผู้ต้องหาขณะกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านสะพานควาย

จากการสอบสวน ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างให้เดินทางเข้ามาประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่ตระเวนกดเงินตามที่ได้รับคำสั่ง โดยมีคนออกค่าใช้จ่าย ค่าเครื่องบินให้มาประเทศไทย ซึ่งมาในฐานะนักท่องเที่ยว โดยเข้ามาไทยได้ 1 สัปดาห์ ก่อนซื้อตั๋วรถไฟ เดินทางตระเวนตามต่างจังหวัด เพื่อกดเงิน โดยจะได้ค่าจ้างจากการกดเงิน 2 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเงินที่ได้กดมา โดยได้เงินจากคดีนี้ 40,000 บาท นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังก่อเหตุกดเงินจากผู้เสียหายที่แจ้งความไว้ที่ สภ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 24 ม.ค. มูลค่าความเสียหาย 72,500 บาท และที่สภ.บางบัวทอง เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา จำนวนเงิน 145,080 บาท

โดยคนร้ายประเภทนี้จะเข้ามาไวออกไว มาคนเดียวโดยมีคนไทยให้ความร่วมมือประสานงานให้ เช่นนำบัตรเอทีเอ็มมาให้ โดยผู้ต้องหาก็ไม่รู้จักคนที่นำบัตรมาให้เลย เบื้องต้นได้ส่งพนักงานสอบสวนสอบปากคำเพื่อขยายผลต่อไป

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ตอนนี้ทางคนไทยเริ่มทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์น้อยลง จึงใช้ให้คนต่างชาติเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวเพื่อกดเงินแทน ซึ่งทางการไทยจะได้ประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขยายผลปราบปราม ขอชี้แจงว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่นำเงินที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเอามาคืนผู้เสียหายได้ ส่วนมาเลเซียนั้นมีมูลค่าความเสียหายจากแก๊งดังกล่าวสูงกว่าไทยประมาณพันกว่าล้านบาทในปีที่ผ่านมา

โดยตำรวจะเร่งรัดปราบปรามคนไทยที่ทำหน้าที่ขายบัญชีและเปิดบัญชี และในวันพรุ่งนี้จะมีการสรุปยอดหมายจับคนไทยที่ก่อเหตุลักษณะนี้เพื่อจับกุมให้หมด และประสานงานกับทางกสทช.เพื่อปิดเบอร์โทรศัพท์ที่แก๊งหลอกผู้เสียหาย ที่ผ่านมาปิดเบอร์โทรศัพท์ไปเป็นจำนวนมากแล้ว โดยร่วมมือกับหน่วยงานในไทยและระหว่างประเทศประชุมเรื่อสกุลเงินบิทคอย เพื่อให้การส่งเงินสกุลนี้โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยากขึ้น ตอนนี้ทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและปปง.จะประชุมร่วมกันหามาตรการกำกับสกุลเงินบิทคอย








Advertisement

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน