จากกรณีคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี ที่ต่างแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หวยรางวัลที่ 1 จำนวน 5 ใบ หมายเลข 533726 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.2560 จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งโอนคดีนี้มาให้กองปราบปรามคลี่คลายความจริง

ความคืบหน้าเรื่องนี้เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ร.ต.ท.จรูญ วิมูล เปิดเผยว่า ตนรู้สึกสบายใจขึ้นที่มีคนมาช่วยพิสูจน์ความจริง สำหรับนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมนั้นตนไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งต้องขอบคุณที่มาให้ความช่วยเหลือในเรื่องหลักฐานต่างๆ เพราะลำพังตนก็ไม่รู้จะไปเอาหลักฐานนั้นมาจากไหน หลังจากเข้าพบ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอความเป็นธรรมแล้วตนและครอบครัวรู้สึกคลายความวิตกกังวลลงไปได้มาก และเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่าจะให้ความเป็นธรรมกับตนได้

“และเรื่องนี้ผมไม่หวั่นกระแสข่าวเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง นายตำรวจระดับสูงเมืองกาญจน์กับผบ.ตร. และ ผบช.ก.ที่มีต่อกัน เพราะผมคิดว่าผู้ใหญ่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี และเชื่อมั่นว่า พล.ต.ท.ฐิติราช รวมทั้ง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อเยาวชน และสังคม พร้อมทีมงานจะสามารถค้นหาความจริงให้ปรากฏขึ้นมาได้ สุดท้ายขอยืนยันว่าผมเป็นผู้ซื้อลอตเตอรี่มาจริง และเป็นผู้ถูกรางวัลจริง ฉะนั้นผมก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ของผมมาโดยตลอดว่าน่าจะเอาชนะทุกสิ่งได้ และยังเชื่อว่าพยานฝ่าย ครูปรีชา ที่มาให้การนั้นเป็นพยานเท็จและปั้นพยานขึ้นมาเพื่อหวังเงินรางวัลอย่างแน่นอน” ร.ต.ท.จรูญ ระบุ

วันเดียวกัน“เจ้เกียว” นางปณัญชยา สุขผล ผู้ค้าสลากรายใหญ่จ.กาญจนบุรี พยานคนสำคัญฝ่ายครูปรีชา ซึ่งเป็นคนเดียวที่รับคำท้าสาบานของร.ต.ท.จรูญ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการสนทนาระหว่าง ครูปรีชา กับ แม่ค้าลอตเตอรี่จริง แต่เป็นการสนทนาในอดีต ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเจ้าของลอตเตอรี่ชุดดังกล่าวเป็นของครูปรีชา ซึ่งสิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าเป็นของ ครูปรีชา เพราะตนอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วยและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

“ที่ผ่านมาไม่หวั่นไหวว่าจะมีคลิปหรือหลักฐานอื่นๆที่จะนำออกมาแสดงอีก โดยพร้อมที่จะเป็นพยานให้ครูปรีชา และไม่เปลี่ยนใจ ส่วนอีกฝ่ายจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา และยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกไปเป็นเรื่องจริง และไม่มีเหตุผลที่เจ้เกียวจะเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะไม่มีเรื่องโกรธเคืองส่วนตัวกับใคร และไม่หวั่นว่าจะต้องติดคุก เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการของศาลยุติธรรมว่าจะให้ความยุติธรรมได้ พร้อมที่จะให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่มาตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อยืนยันว่าไม่ได้ทำเป็นขบวนการอย่างที่กล่าวอ้าง หรือมาเป็นพยานเพราะเรื่องของผลประโยชน์ และไม่ได้มีส่วนแบ่งจากเงินก้อนนี้แต่อย่างใด” เจ้เกียว ระบุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน