แม่ช็อก ร้อง ปวีณา ลูกชาย ออทิสติก ถูกครูสถานรับเลี้ยง ย่านบางบัวทอง ทำร้ายร่างกาย แฉพฤติกรรมสุดเหี้ยม จนหวาดผวา ให้กินข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.พ.2566 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี คลองเจ็ด ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี พร้อมพี่สาว เดินทางเข้าร้อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองต้องไปทำงานอยู่ที่ประเทศเยอรมันและได้นำลูกชายเป็นออทิสติกไปฝากเลี้ยงที่บ้านรับดูแลคนออทิสติก เดือนละ 35,000 บาท

แม่ช็อก ร้อง ปวีณา ลูกชาย ออทิสติก ถูกครูบ้านรับดูแลย่านบางบัวทอง ทำร้ายร่างกาย แฉพฤติกรรมสุดเหี้ยม

แม่ช็อก ร้อง ปวีณา ลูกชาย ออทิสติก ถูกครูบ้านรับดูแลย่านบางบัวทอง ทำร้ายร่างกาย แฉพฤติกรรมสุดเหี้ยม

ลูกชายกลับถูกทำร้ายร่างกายทั้งใช้มีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอก สากกะเบือทุบมือบวมปูด ใช้ไฟแช็กลนแขน ให้กินข้าวกับไข่เจียว ข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทุกวัน จนร่างกายซูบผอม ทุกวันนี้ลูกชายมีอาการหวาดผวา ระแวง ก้าวร้าว ต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

นางแหม่ม กล่าวว่า ปัจจุบันตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ช่วงเดือน ก.ค.65 ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่ จ.อุบลราชธานี นายเม่น ลูกชาย ที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูกเพราะเราคิดว่าเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด

นางแหม่ม กล่าวต่อว่า จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนออทิสติก แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ามาเรียนกับเด็ก ๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ตนจึงได้ติดต่อและพาลูกไปที่นั่น

นางแหม่ม กล่าวอีกว่า พบเป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กออทิสติกที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งมีครูที่เป็นเจ้าของแจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง

นางแหม่ม กล่าวว่า จากนั้นแม่ก็ตกลงจะฝากลูกไว้ที่นั่น โดยพาลูกไปส่งวันที่ 18 ก.ค.2565 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่แพทย์ให้กินทุกวัน จากนั้นตนได้เดินทางกลับประเทศเยอรมัน ช่วง 2 เดือนแรก ครูส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้ตนดู ก็ว่าลูกคงมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปหาอาจารย์หมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยาแล้ว

นางแหม่ม กล่าวด้วยว่า ต่อมาเดือน พ.ย.65 ตนสังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกตนก็ไม่คิดอะไร แต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย วันที่ 30 พ.ย.65 จึงให้น้องสาวบินจากเยอรมันกลับไทยเพื่อมาเยี่ยมหลาน เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้ เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทั้งที่น้องสาวก็ได้ตรวจเอทีเค และนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงคุยกับหลานผ่านวิดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอม ร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุย

นางแหม่ม กล่าวต่อว่า เมื่อน้องสาวมาเล่าให้ฟัง ตนจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค.65 และแชทคุยบอกครูว่า จะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้าน จ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่า ครูมีโปรแกรมจะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านก็พบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้านไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นตนก็ได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่ จ.อุบลราชธานี ทันที

นางแหม่ม กล่าวอีกว่า ต่อมาตนกลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา ตนต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่าถูกครู 3 คนทำร้าย โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห

“และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกที่พื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกินจึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอก ซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่” นางแหม่ม กล่าว

นางแหม่ม กล่าวด้วยว่า วันที่ 28 ธ.ค.65 แม่ได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี แพทย์พบว่า เด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลวันที่ 28 ธ.ค.65 ถึงวันที่ 18 ม.ค.66 รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน ตนเสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย นอกจากนี้ ลูกยังบอกว่าเวลาอยู่ที่บ้านครู ส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

“แม่ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดที่เขาทำกับลูกแม่ ไม่รู้ว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านจะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็จะไม่ให้คุยกับเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่าเดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู แม่อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ และขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือติดตามคดีให้ด้วย” นางแหม่ม กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน