สมาคมโรงแรมใต้โวยเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” พิษร้ายทำร้ายการท่องเที่ยว จี้ทบทวนขยายระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปอีกปี ลั่นเจอวิกฤตโควิด 2 ปี รัฐเคยไม่เข้ามาดูแล

วันที่ 20 ก.พ.2566 นายสิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา เปิดเผยว่า ครม.ผ่าน มติให้จัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินทั้งทางบก เรือ อากาศ เริ่มวันที่ 1 มิ.ย.66 การจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินทางบก 150 บาท ตนเห็นว่ามันจะส่งผลต่อการค้าการท่องเที่ยวชายแดน ด้วยบริบทที่แตกต่างกันของนักท่องเที่ยวทางบกกับอากาศในหลายๆมิติที่รัฐต้องทบทวนให้มากกว่านี้ ก่อนออกมาตรการจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน

วิถีนักท่องเที่ยวจังหวัดชายแดนไทย-มาเลเซีย (ทางบก) นิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา จ.สงขลาบ่อย บางคนมาสัปดาห์ละครั้งบางคนมากกว่า1 ครั้ง/ สัปดาห์ เข้ามามาพักผ่อน ช้อปปิ้ง ทานอาหาร ไหว้พระ เพราะที่นี่ราคาค่าครองชีพไม่แพงเมื่อเทียบกับมาเลเซีย และเดินทางมาง่าย เมื่อกฎเกณฑ์เปลี่ยน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น คนจะตัดสินใจมาเที่ยว ทั้งจำนวนคนและความถี่ลดลง หากนักท่องเที่ยวตัดสินใจไม่มา 1 คน เท่ากับเดือนนั้นเลขจะหายไป 4 คน

นายกฯ

เพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้จบที่ 150 บาท หากมานอกเวลาทำการหรือเสาร์อาทิตย์ นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าโอทีให้กับตรวจคนเข้าเมือง 25 บาทต่อรถยนต์ 1 คัน จะกลายเป็น 150 บาท++ นี่คือการเพิ่มภาระจากเดิม แทนที่จะยกเลิกของเดิมให้หมดแล้วเหลือยอดเดียว แต่กับกลายเป็นว่าคนละหน่วยกัน กฎหมายคนละตัว อีกหน่อยถ้าจะมีหน่วยงานไหนขอเก็บบ้าง ก็คงจะให้เหตุผลเดียวกันว่าคนละหน่วยงาน

“ยกเว้นให้กับผู้ถือ border pass เก็บเฉพาะหนังสือเดินทาง เพื่อเป็นการผ่อนปรน แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามา จ.สงขลาล้วนแต่ใช้หนังสือเดินทาง เพราะไม่ใช่ทุกคนจะถือ หนังสือเดินทางได้ มาตราการนี้จึงผ่อนปรนเฉพาะบางส่วน และจะส่งผลถึงพื้นที่อื่นๆ เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วย Border Pass จะถูกจำกัดพื้นที่เดินทาง”

ด่านชายแดน

นายสิทธิพงษ์ กล่างต่อว่า ค่าเหยียบแผ่นดิน 150 บาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก 50 บาทนำไปซื้อประกันให้นักท่องเที่ยวและส่วนที่สอง 100 บาทนำเข้ากองทุนฯ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าประกันจะให้ความคุ้มครอง 30 วัน แต่ถ้านักท่องเที่ยวมาใหม่ในสัปดาห์ถัดไปจะต้องจ่ายค่าประกันอีก ทั้งๆที่เพิ่งจ่ายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเคยเสนอในที่ประชุมกับทีมวิจัยว่า หากเงินค่าเหยียบแผ่นดินออกมาเพื่อแก้ปัญหาที่รัฐต้องเอาเงินอุดหนุนไปรักษานักท่องเที่ยวเวลาเกิดอุบัติเหตุ ผมเสนอว่าให้นักท่องเที่ยวทางบก จ่าย 1 ครั้งแล้วคุ้มครอง 30 วันตามกรมธรรม แต่จะเข้า-ออกประเทศไทยกี่ครั้งก็ได้ตราบเท่าที่ประกันยังคุ้มครอง (เฉพาะทางบก) แต่ก็ไร้การตอบรับจากคณะกรรมการฯ”

เจอวิกฤตโควิด 2 ปี รัฐไม่เข้ามาดูแล ต่อสู้กันเรื่อยมาจนการค้า การท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นกำลังจะเดินได้ แต่รัฐเดินนโยบายค่าเหยียบแผ่นดิน จะนำมาซึ่งการฉุดรั้งการเดินของเรา ถ้ารัฐคิดว่าเสียงประชาชนสำคัญ และให้พวกเราเดินต่อได้อย่างสะดวก ตัวเลขและรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่กระทบขอให้รัฐช่วยภาคเอกชน ขยายระยะเวลาการบังคับใช้จัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินทางบกออกไป 1 ปีและศึกษาผลกระทบอีกครั้ง

เที่ยวภาคใต้

การศึกษาขอให้เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่าบริบทเขาเป็นอย่างไร เช่น การเดินทางเข้ามาเลเซียไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่การเดินทางฝั่งไทยยังมีค่าใช้จ่าย (ช่วงนอกเวลาทำการ) และขอให้เชิญตัวแทนหน่วยงานภาคเอกชนที่มีส่วนได้เสียให้มากที่สุดอย่างน้อยที่สุดตั้งมีสัดส่วนมากกว่าหน่วยงานของรัฐ หากเดินหน้าจัดเก็บและไม่ให้เกิดผลกระทบกับการค้าการท่องเที่ยวชายแดน ขอให้ยกเว้นการจัดเก็บนักท่องเที่ยวสัญชาติมาเลเซีย, ลาว,กัมพูชา,พม่า (ประเทศเพื่อนบ้าน) ที่เดินทางมาทางบก ส่วนทางอากาศนั้นยังคงเก็บปกติ ”

นายสิทธิพงษ์ บอกด้วยว่า ขอให้รัฐพิจารณาทบทวนกรณีการจัดเก็บว่ามีผลกระทบมากน้อยขนาดไหน และขอให้รัฐเปิดเผยผลงานวิจัยที่ได้ทำสำรวจเรื่องการจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินว่ามีเนื้อหาสาระอย่างไร ผมในฐานะเป็นคนพื้นที่ ไม่อยากเห็นมาตรการจากส่วนกลางมาทำร้ายการค้าการท่องเที่ยวของเรา ไม่อยากเห็นภาพการค้าการท่องเที่ยวเกิดวิฤต แล้วต้องมาแก้ไขกันภายหลัง ขอให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนก่อนที่ความหายนะจะมาเยือน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน