“ชลน่าน” แจ้งผลหารือสมาคมสหอุตฯ กัญชง-กัญชา ขอความชัดเจนสถานะ “ยาเสพติด” ไม่ติดใจดึง “ช่อดอก” หวนคืน เชื่อทำตาม กม.ได้ หากรู้ผลจะเสนอสภา ด้านกลุ่มปลูกครัวเรือน รอดูกฎหมายใหม่ อนุญาตแค่ไหน อาจออกบทเฉพาะกาลรองรับ

11 ต.ค. 66 – นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีหารือร่วมกับสมาคมสหอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า

ทางกลุ่มมีข้อเสนอในฐานะผู้ประกอบการว่า ประสบปัญหาอะไร มีความต้องการอะไร จึงแนะนำปัญหาและข้อเสนอต่อ สธ. เช่น บอกว่าเป็นนักลงทุนพอมีนโยบายเรื่องนี้ออกมาจากรัฐบาลก่อนๆ ก็เตรียมตัวลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท พอมีความไม่ชัดเจนในเรื่องกฎหมายสถานะของกัญชงกัญชา ว่าจะมีสถานะอย่างไร ทำให้ขับเคลื่อนต่อไม่ได้

“จะเป็นยาเสพติดหรือไม่ พอบอกว่าไม่ชัดเจน ก็ขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจไม่ได้ จึงมีข้อเสนอว่าต้องให้มีความชัดเจน สถานะกัญชงและกัญชาเป็นอย่างไร จะเป็นยาเสพติดหรือไม่เป็นยาเสพติด เขาไม่ติดใจ แต่ขอให้กำหนดให้ชัดเจนเพื่อทำธุรกิจให้สอดรับได้” นพ.ชลน่านกล่าว

เมื่อถามว่า จะนำข้อเสนอเหล่านี้มาปรับในเรื่องของการแก้กฎหมายด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า แน่นอน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเราเข้าใจและเห็นใจเขากับนักลงทุน บริษัทหนึ่งเป็น 200 – 300 ล้านบาท รวมๆ แล้วเป็นหมื่นล้านบาท แต่ยังไม่มีผลตอบแทนเลย ยังไม่มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพราะความชัดเจนในเรื่องตัวผลิตภัณฑ์หรือสถานะของผลิตภัณฑ์ยังไม่ชัด ยังไม่มีกฎหมายรองรับ สิ่งที่เราทำก็ต้องสร้างความชัดเจนตรงนี้ สถานะจะเป็นหรือไม่เป็นยาเสพติด สถานะที่เป็นอยู่แล้วพอหรือไม่ จะต้องไปแก้ประกาศเพิ่มเติมหรือไม่ก็ต้องดู

“หรือกัญชงกับกัญชา ควรจะแยกจากกันหรือไม่ เพราะประโยชน์การใช้กัญชงนั้นต่างจากกัญชา กัญชงสามารถใช้เส้นใยในทางอุตสาหกรรมเพื่อการพาณิชย์ได้ แต่กัญชาไม่มีประเภทนี้ กัญชาใช้เพื่อสุขภาพและการแพทย์ได้ แต่กัญชงมีมากกว่านั้น เขาก็เสนอว่า ควรจะมีการแยกในการเขียนให้ชัดเจนมากขึ้นหรือไม่ ควรจะมีกฎหมายมารองรับให้เขียนให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้นำข้อกำหนดหรือการควบคุมทางกฎหมาย ไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการทำธุรกิจ” นพ.ชลน่านกล่าว








Advertisement

เมื่อถามอีกว่า ช่วงที่สถานะกัญชงกัญชายังไม่ชัดเจนเช่นนี้ ภาคธุรกิจยังสามารถขับเคลื่อนต่อไปก่อนได้ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ตามกฎหมายเดิม เขาสามารถเดินหน้าไปได้ส่วนหนึ่ง เช่น ถ้าต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ ก็ต้องทำตามข้อกำหนดตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น กฎหมายต่างๆ ของ อย. ที่จะต้องขออนุญาตอนุมัติต่างๆ หรือกฎหมายคุ้มครองภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ สาร THC ไม่เกิน 0.2% ก็ไม่ใช่ยาเสพติดสามารถผลิตได้ หรือสาร CBD เอาไปทำผลิตทางการแพทย์เอาไปเป็นยาก็สามารถทำไปได้ แต่ว่าประเด็นความไม่ชัดเจนเรื่องของการควบคุม การอนุญาต การอนุมัติต่างๆ ก็จะมีประเด็นปัญหาอยู่ถ้าสถานะยังไม่ชัด

ถามต่ออีกว่า ทางกลุ่มอุตสาหกรรม หารือหรือไม่ว่าถ้ามีการเอาช่อดอกกลับไปเป็นยาเสพติด จะยังสามารถทำธุรกิจต่างๆ ต่อไปได้หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ผู้ประกอบการที่มาบอกว่า จะเอาช่อดอกกลับไปเป็นยาเสะติด เขาก็ไม่ติดใจ แต่ขอความชัดเจนเท่านั้น ตรงนี้เป็นข้อเสนอของเขา เขาบอกว่ายังสามารถทำธุรกิจได้ ขอเพียงให้มีความชัดเจนว่าจะทำอย่างไร จะเกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับใด เกี่ยวข้องกับกฎหมายยาเสพติดหรือไม่ กฎหมายของแพทย์แผนไทย หรือกฎหมายของตัวกัญชงกัญชาเองหรือไม่

เมื่อถามต่อว่า นอกจากตัวสารสกัด THC เกิน 0.2% ที่เป็นยาเสพติด จะพิจารณาส่วนใดเพิ่มเติมอีก นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คณะทำงานที่ยกร่างกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่ ก็จะต้องมาพูดคุยกันว่านอกเหนือจากที่ประกาศไปแล้ว มีความจำเป็นต้องประกาศอะไรที่จะเป็นยาเสพติดเพิ่มเติมหรือไม่ ก็กำลังพิจารณากันอยู่ ก็ต้องอาศัยข้อมูลรอบคอบรอบด้าน

เมื่อถามย้ำว่า วางกรอบเวลาไว้หรือไม่ว่าจะต้องได้ข้อสรุปเมื่อใด นพ.ชลน่านกล่าวว่า กำลังเร่งทำกันอยู่ถ้าเสร็จแล้วจะเสนอเข้าสู่สภา

เมื่อถามถึงก่อนหน้านี้มีแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” ของ อย.ที่ให้ขึ้นทะเบียนผู้ที่แสดงความจำนงในการปลูกกัญชามีประมาณหลายล้านคน ถ้ามีการล็อกขึ้นมา จะได้รับผลกระทบหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ต้องไปดูตัวกฎหมายที่เขียนขึ้นมาใหม่ เช่น อนุญาตให้ผลิตได้ขนาดไหน จะเป็นลักษณะของอุตสาหกรรม ลักษณะวิสาหกิจหรือไม่ ก็ต้องไปดูในรายละเอียด ถ้ากฎหมายออกมาอย่างไร อะไรที่เกิดขึ้นมาก่อนกฎหมายบังคับใช้

อาจจะต้องมีบทเฉพาะกาลขึ้นมารองรับ มิเช่นนั้นก็จะเป็นปัญหา เพราะว่าเดิมมีใบอนุญาตให้ปลูกในครัวเรือน 6 ต้นบ้าง 10 ต้น 15 ต้นบ้าง ถ้ากฎหมายใหม่ไม่มารองรับ ก็ต้องดูแลเขาทำอย่างไรให้ไม่ผิด มิเช่นนั้นก็จะเป็นเหยื่อกันอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน