ทส.จ่อเสนอพ.ร.บ.อากาศสะอาด ให้ครม.รับทราบ ส่งต่อสภาพิจารณา คาดมีผลบังคับใช้กลางปี 67 มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ปชช. คุมเข้มมลพิษตามช่วงเวลา 8 3 1
25 ธ.ค. 66 – ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร้อยเอกรชฎ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรมว.ทส. ดร.บันฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะคณะทำงานร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. และ นายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง คณะทำงานที่ปรึกษารมว.ทส. ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าของร่างพ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ….
ร้อยเอกรชฎ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (26ธ.ค.) กระทรวงทรัพยากรฯ จะเสนอร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อส่งเรื่องไปยังรัฐสภาพิจารณา หลังกฤษฎีกาได้ตรวจแก้ร่างฉบับดังกล่าวแล้ว เนื่องจากอยู่ในสมัยการประชุมที่จะปิดวาระช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเม.ย. 67 ทำให้มีเวลาพิจารณากฎหมาย 4 เดือน
โดยระหว่างนั้นจะมีการพิจารณากฎหมายลำดับรอง 30 ฉบับไปพร้อมกัน คาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ช่วงกลางปี 2567 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายเฉพาะที่แก้ไขปัญหามลพิษในประเทศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และมีเอกภาพในการบริหารจัดการได้ดีขึ้นทั้งระบบ โดยจะมอบกฎหมายฉบับนี้ให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนชาวไทย เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงอากาศสะอาด
ด้านดร.บัณฑูร กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. มีทั้งหมด 9 หมวด 104 มาตรา ซึ่งเป็นเครื่องมือเฉพาะที่นำมาบังคับใช้แก้ไขปัญหามลพิษ โดยเฉพาะลดมลพิษจากแหล่งกำหนด ทั้งด้านคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และหมอกควันข้ามแดน
โดยเน้นดำเนินการในแต่ละช่วงเวลา โดยช่วงเกิดมลพิษมีประมาณ 3 เดือน และมีช่วงคุมเข้มก่อนเกิดมลพิษ 8 เดือน และช่วงเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีก 1 เดือน ดังนั้นเรามี 8 เดือนที่ต้องคุมเข้มตามมาตรการ อย่างพื้นที่ภาคเกษตรพบว่า กำเนิดมลพิษประมาณ 12% เกิดจากการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะไร่ข้าวโพด จึงต้องมีปรับเปลี่ยนภาคเกษตรกรรมมาปลูกพืชยืนต้นแทน เช่น กาแฟ ไผ่ อโวคาโด มะม่วง
ดร.บัณฑูร กล่าวอีกว่า กฎหมายฉบับนี้ จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบูรณาการ เนื่องจากแต่เดิมผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถสั่งการได้เพียงประมาณ 30 หน่วยงาน อีก 130 หน่วยงานระดับสั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้การบูรณาการขาดเอกภาพ เมื่อกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้แล้ว ผู้ว่าฯ ก็จะสามารถประสานงานได้ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีมีแนวโน้มจะเกิดภาวะมลพิษทางอากาศกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สามารถประกาศเป็นเขตเฝ้าระวัง
ส่วนเขตประสบมลพิษทางอากาศ ต้องเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและประชาชนต่อเนื่อง โดยไม่มีแนวโน้มมลพิษทางอากาศลดลง หรือเกิดปัญหาซ้ำซากต่อเนื่องหลายฤดูกาล นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยี อาทิ ดาวเทียม โดรน เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและตรวจสอบการกระทำผิด และมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาใช้ เช่น ภาษีอากรสำหรับอากาศสะอาด ค่าธรรมเนียมการจัดการมลพิษทางอากาศ การกำหนดและโอนสิทธิในการระบายมลพิษทางอากาศ การประกันความเสี่ยง
ด้านนายปิ่นสักก์ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้เป้าหมายในการลดมลพิษได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 30-40 % และจำนวนวันการเกิดมลพิษต้องลดลง ทั้งนี้คาดว่าเมื่อกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้แล้ว จะช่วยลดมลพิษได้มากถึง 50-60 %