ชลน่าน สั่ง ปลัดสธ. ติดตามปัญหาบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ตั้งเป้า 4 ระยะ ชี้ สกัดผู้ป่วยช้อปปิ้ง รพ.-ยา-รักษาโรคเดิมมากผิดปกติ

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการตอบรับของนโยบายบัตรประชาชนรักษาฟรีทุกที่ นำร่องใน 4 จังหวัด ซึ่งคิกออฟเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า เรื่องการประเมินผลของนโยบาย ก่อนจะมีการคิกออฟนั้น ทางสธ.ได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดีทั้ง 4 จังหวัดนำร่อง คือ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส

ดังนั้น เรื่องการใช้งานจึงไม่เป็นประเด็นว่าจะไม่พร้อมใช้งาน เพราะมีการทดสอบระบบมาแล้ว เพื่อให้มีการเชื่อมโยงข้อมูล ทั้งคลินิกเอกชน ร้านขายยา โรงพยาบาล (รพ.) ห้องปฏิบัติการ (แล็บ) รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปจนถึงการให้บริการเทเลเมดดิซีน ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดสธ. ตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามนโยบายบัตรประชาชนใบเดียว เพื่อดูว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใดในการดำเนินงาน

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นโยบายบัตรประชาชนใบเดียว ได้ตั้งเป้าไว้ 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เปิดให้บริการใน 4 จังหวัดใน 4 เขตสุขภาพ ระยะที่ 2 จะเปิดในช่วงเดือน มี.ค. ขยายเป็น 8 จังหวัดใน 8 เขตสุขภาพที่เหลือ ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู นครราชสีมา อำนาจเจริญ และพังงา ซึ่งจะสามารถใช้ระบบบัตรประชาชนใบเดียวเข้าได้ทุกที่ภายในจังหวัดนั้นๆ

โดยระยะแรกจะเน้น รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุขก่อน ส่วน รพ.เอกชน นั้น จะต้องเป็นโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามระบบ โดยหลังจากนี้จะมีการประสานเพื่อให้ รพ.เอกชน เข้ามาร่วมสัญญาให้มากขึ้น

ระยะที่ 3 เริ่มช่วงเดือน เม.ย. จะขยายนโยบายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในเขตสุขภาพ แต่จะเริ่มใน 4 เขต ได้แก่ เขต 1 ภาคเหนือ เขต 4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 9 ภาคใต้ตอนบน และเขต 12 ภาคใต้ตอนล่าง และระยะที่ 4 จะขยายให้ทั่วประเทศ แต่ต้องใช้เวลานานกว่าระยะอื่น คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะสามารถดำเนินการได้อย่างครบถ้วน

เมื่อถามกรณี รพ. ยังร้องขอใบส่งตัวจากผู้ป่วย จะมีแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การใช้บัตรประชาชนเป็นการตัดวงจรการใช้ใบส่งตัว เพราะมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลที่เอื้อต่อการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย

ดังนั้น ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลก็จะดูได้ว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้น ไปรับบริการที่ใดมาบ้าง ซึ่งตรงนี้จะช่วยลดแรงจูงใจในการช้อปปิ้ง รพ. ได้ด้วย เช่น ผู้ป่วยไปคลินิกเอกชนมาในช่วงเช้า แล้วมาหาหมอใน รพ. อีกครั้ง ระบบก็จะแจ้งว่าผู้ป่วยคนนี้ได้รับบริการอะไรไปบ้าง ได้ยาอะไรแล้วบ้าง

ซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นเรื่องนี้ว่า ในอนาคตอาจต้องมีระบบการตรวจสอบว่าผู้ป่วยเข้ารับบริการมากผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจจะนำมาสู่การพิจารณาว่า ใน 1 คน 1 โรคจะรับบริการได้กี่ครั้ง หากเกินกว่านั้นจะต้องจ่ายเอง แต่ย้ำว่าตรงนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงเรื่องสมมติฐานเท่านั้น เพื่อพัฒนาระบบให้เข้มแข็ง แต่หากคนที่ป่วยจริงๆ แล้วรักษาไม่หายจริงๆ ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง ในส่วนนี้ก็ยังได้สิทธิเหมือนเดิม

เมื่อถามถึงความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนบุคคล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มี 2 ระบบ คือ 1.ความปลอดภัยเชิงบุคคล ผู้ที่มายืนยันสิทธิการรับบริการในแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม หรือแอพฯ ของ รพ. ซึ่งผู้ป่วยสามารถเปิดหรือปิดการเข้าถึงข้อมูลได้

2.ความปลอดภัยเชิงระบบ สธ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางระบบไว้ให้เกิดความปลอดภัยระดับหนึ่ง อย่างการนำร่อง 4 จังหวัด มีการวางความปลอดภัยไว้ถึง 3 ชั้น เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ โดยจะมีการสำรองข้อมูลผู้ป่วย การตรวจจับแรนซัมแวร์ และแก้ไขปัญหาเมื่อโดนโจมตี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน