เศรษฐินี ร้อง อดีตลูกน้องสาว ลวงสามีป่วยโรคสมองหายออกจากบ้าน พร้อมทรัพย์สินหลายแสนบาท หวั่นไม่ปลอดภัย แฉวันเกิดเหตุ ใครพบมีเงินให้ 20,000 บาท

วันที่ 11 มี.ค.2567 น.ส.มัลลิกา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี เศรษฐนีและนักธุรกิจ ร้องเรียนผ่านผู้สื่อข่าว ให้รางวัล 20,000 บาท ใครที่พบเจอสามีชื่อ นายสรายุทธ ยิ่งเจริญ อายุ 53 ปี ถูกผู้หญิงล่อลวงไปจากบ้านพักภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งถนนราชพฤกษ์-ติวานนท์ ม.1 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี

โดยหายตัวไปพร้อมกับทรัพย์สิน สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท, พระเลี่ยมทองหนัก 2 บาท, เงินสด 10,000 บาท และบัญชีธนาคารที่พบว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีไปแล้วจำนวน 6,000 บาท น่าจะมีคนเอารถมารับไป

เศรษฐินี ร้อง อดีตลูกน้องสาว ลวงสามีป่วยโรคสมองหายออกจากบ้าน พร้อมทรัพย์สินหลายแสนบาท หวั่นไม่ปลอดภัย

เศรษฐินี ร้อง อดีตลูกน้องสาว ลวงสามีป่วยโรคสมองหายออกจากบ้าน พร้อมทรัพย์สินหลายแสนบาท หวั่นไม่ปลอดภัย

ปัจจุบันนายสรายุทธยังไม่กลับมาบ้าน เป็นห่วงเกรงว่า สามีจะได้รับอันตราย เบื้องต้นได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้กับ พ.ต.ต.ชัยพัชร์ อารียวงษ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานีแล้ว

น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า เริ่มจากที่ตนจะหาซื้อตู้เย็นให้ลูกน้องแล้วเห็นในกลุ่มบ้านเอื้ออาทร 2 มีคนเป็นผู้ชายประกาศขายซึ่งอยู่ใกล้บ้าน จึงได้นัดดูของ เมื่อไปดูตู้เย็นแล้วไม่ถูกใจ จึงไม่ตกลง กระทั่งตอนเย็นมีผู้ชายที่ประกาศขายตู้เย็นโทรมาถามจึงปฏิเสธไปอีก และวันต่อมาก็โทรมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้โทรมาขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่า ตนเองมีภรรยาและแม่ที่ป่วยพร้อมลูกที่เป็นออทิสติก อยากกลับมาอยู่ปทุมธานี

ซึ่งขณะนี้ทำงานอยู่ที่ จ.ชลบุรี ด้วยความสงสารจึงได้จ้างรถตู้ทึบไปพาครอบครัวนี้กลับมาอยู่ห้องเช่าเดิมของเขาใกล้หมู่บ้าน ตัวชายคนนี้บอกว่า ตนเองเบิกเงินล่วงหน้ากับนายจ้างเก่ามา 3,000 บาท ถ้าไม่คืนให้เขาจะแจ้งความดำเนินคดี ตนสงสารจึงโอนไปให้ 3,000 บาท

ตอนนั้นตนยังไม่เคยเจอหน้าครอบครัวนี้เลย เพราะงานยุ่งมาก จนได้เรียกครอบครัวนี้มาพบ และได้สอบถามว่า จะกลับมาทำอะไร ผู้ชายบอกว่าตนเองทำอาหารตามสั่งได้ ตนจึงได้หาที่และซื้อเต็นท์พร้อมอุปกรณ์การทำอาหารและของสดเพื่อนำมาขาย

หลังจากขายได้วันหนึ่ง ทางผู้ชายคนนี้บอกว่า ขายไม่ไหวเหนื่อยมาก ซึ่งตนก็รู้สึกเสียอารมณ์ จึงถามไปว่าแล้วจะทำยังไง ก่อนที่ชายคนดังกล่าว จะขอให้แฟนเขา ชื่อ น.ส.สายฝน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี มาทำงานเป็นลูกจ้างแทน

ตนจึงถามไปว่าทำอะไรเป็นบ้าง ก็บอกว่าทำความสะอาดได้ จึงรับมาทำงานเพื่อให้ดูแลร้านซักผ้า หลังจากผ่านไป 1 เดือนกว่า ตนได้เดินทางไปที่ภาคใต้ เพื่อนำลูกน้องไปส่งให้เพื่อนสนิท โดยนำรถไป 2 คัน ตนกับสามีและลูกน้องอีกคนได้ไปรถอีก 1 คัน และให้คนขับอีกคนเดินทางไปกลับมาพร้อมนางสายฝน และตนเองให้สามีกลับมาด้วย เพราะตนต้องอยู่ดูงานที่นู่น

หลังจากกลับมาได้ไม่นาน ตนพบว่า ร้านค้าที่เปิดไว้ที่บ้าน ไม่มีใครอยู่ แต่สังเกตเห็นว่ามีรองเท้าของนางสายฝนวางอยู่หน้าบ้าน ส่วนแฟนตนก็หายไป ตนเดินหาก็ไม่พบ จึงได้ไปเคาะที่ห้องกระจกที่อยู่ข้างร้านค้าก็ไม่มีใครออกมา

เมื่อตนไปเคาะครั้งที่ 2 และเสียงดังแล้วตนก็แอบมามองดูอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพบนางสายฝนเดินออกมา จึงถามว่าสามีตนไปไหน นางสายฝนบอกว่าอยู่ในบ้าน โดยนางสายฝนอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ ตนจึงได้เรียกทั้งสองคนมาคุย ก่อนที่จะไล่นางสายฝนออก

จากนั้นตนก็ต้องเดินทางมาต่างจังหวัดโดยนำสามีไปด้วย ระหว่างทางตนบอกให้สามีมาเปลี่ยนขับรถ ซึ่งสามีขับรถได้แต่ต้องมีคนนั่งไปด้วยตลอดเพื่อบอกทาง เพราะบางทีหลงและจำเส้นทางไม่ได้ เมื่อสามีขับไปได้มีโทรศัพท์เข้ามาทาง ซึ่งนางสายฝนได้โทรมา ตนจึงรับสายแล้วบอกว่า ยังไม่จบอีกเหรอ ก่อนที่ตนจะวางและปิดมือถือ

ซึ่งวันที่สามีตนหายไป มีทรัพย์สินติดตัวไปด้วยเป็นสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น, พระเลี่ยมทองหนัก 2 บาทอีก 1 องค์ และเงินสด 10,000 บาท โดยตนพบว่าเงินในบัญชีจำนวนหนึ่ง ได้ถูกโอนไปให้กับพี่เขยของนางฝนอีกด้วย

ต่อมาวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้พาครอบครัวและลูกน้องไปทานข้าวและกลับมาถึงบ้านช่วงเย็น โดยเปิดโทรศัพท์ของสามีและเสียบชาร์จแบตไว้ในรถ จังหวะนั้นสามีได้เดินออกไปที่รถแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาพูดคุยโดยตนไม่เห็น แต่ลูกน้องเป็นคนบอกว่าสามีคุยโทรศัพท์แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร

ก่อนที่สามีจะเดินมาบอกว่า ขอไปเดินออกกำลังกายนอกบ้าน เวลาผ่านไปไม่นาน ตนได้โทรศัพท์ไปหาสามี โดยสามีบอกว่าเพิ่งจะเดินได้รอบเดียวขอเดินต่ออีกรอบ ตนก็บอกให้ระวังจะลื่นล้ม จากนั้นลูกน้องที่อยู่ที่บ้านบอกว่าเดี๋ยวจะวิ่งไปดู ไปได้สักพักก็กลับมาบอกว่า ไม่เจอสามีแล้ว

ตนจึงโทรศัพท์หาแต่ครั้งนี้ไม่ติด จึงได้ออกตามหาก็ไม่พบ ก่อนที่จะเดินไปสอบถาม รปภ.ที่หน้าหมู่บ้านได้ความว่า สามีนั่งรถแท็กซี่ออกจากหมู่บ้านไปและไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย

น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า ตนไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ช่วยตามหา โดยตรวจสอบกล้องวงจรปิดจนพบรถแท็กซี่ที่มารับสามีไปและตรวจสอบเส้นทางพบว่า รถแท็กซี่ได้ไปส่งสามีกับนางสายฝนที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านตลาดพูนทรัพย์ของคืนวันที่ 5 มี.ค.

จากนั้นเช้าวันที่ 6 มี.ค. ทั้งคู่ได้ออกจากโรงแรมแล้วขึ้นรถแท็กซี่อีกคันเพื่อไปส่งที่บริเวณท่ารถตู้ตรงข้ามศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต แต่กล้องบริเวณนั้นเสียจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า สามีและนางสายฝนขึ้นรถตู้ไปที่ใด

ตนอยากวิงวอนและขอร้อง หากมีผู้ใดพบเห็นสามีตนหรือนางสายฝนสามารถแจ้งมาได้ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ถ้าสามารถนำสามีกลับมาได้ซึ่งตนก็มีสินน้ำใจให้ผู้แจ้งให้เป็นเงิน จำนวน 20,000 บาทอีกด้วย เพราะตอนนี้ตนเป็นห่วงสามีมาก เนื่องจากสามีป่วยมีสมองซีกเดียวต้องรับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

ตนมั่นใจว่าที่สามีออกจากบ้านไปต้องเป็นการไม่ประสงค์ดีกับสามีตนแน่ นางสายฝนอาจจะไม่ได้ทำคนเดียว น่าจะต้องมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ตนคิดว่านางสายฝนไม่สามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดียว แถมเงินยังถูกโอนไปให้บุคคลที่สาม

ส่วนสามีของนางสายฝนก็ยังคงพักอาศัยอยู่ที่เดิม ส่วนลูกของนางสายฝนได้เอาไปฝากไว้ให้พี่สาวเลี้ยง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปทุมธานี ได้เร่งตามหาสามีของตนอยู่ แต่ตนเกรงว่า หากเงินที่สามีมีติดตัวไปหมด เขาอาจจะทำอย่างอื่นมากกว่านี้และเกรงว่าสามีจะไม่ปลอดภัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน