เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 3 ของการไต่สวนคดีการเสียชีวิตของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจรรมชาติพันธุ์ลาหู่ และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต ที่ด่านบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.60 ที่ผ่านมา โดยวันนี้เป็นวันที่ 3 ของการไต่สวนการตาย

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นและทนายความญาติผู้เสียชีวิต กล่าวว่า การไต่สวน 2 วันที่ผ่านมามีการถกเถียงกันอยู่หลายประเด็น ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นประเด็นคือ จากรายงานที่พนักงานสอบสวนส่งให้กับอัยการ ซึ่งนำมาจากกองพิสูจน์หลักฐานกลางกรุงเทพฯ โดยกลุ่มงานอาชญากรรมด้านคอมพิวเตอร์ พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวเครื่องบันทึกภาพและฮาร์ดดิสก์ที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 25 เม.ย.60 ที่ผ่านมา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจนำส่งต่อไปยังกองพิสูจน์หลักฐานตั้งแต่วันนั้น แล้วก็รายงานกลับมา พร้อมกับให้ความเห็นว่า ไม่พบภาพในวันที่ 17 มี.ค.60 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุในตัวฮาร์ดดิสก์ เท่ากับว่ามีความชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีหลักฐานที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ทั้งที่ภาพดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ถึงต้องมีการวิสามัญฆาตกรรมกันเกิดขึ้น

ทนายความญาติผู้เสียชีวิต กล่าวต่อว่า กองพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่าเครื่องฮาร์ดดิสก์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมาสามารถใช้งานได้ปกติ ไม่ได้เสียแต่อย่างใด ทว่าภาพวันเกิดเหตุกลับหายไปจากฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามอีกว่าภาพหายไปได้อย่างไร แม้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานไม่ได้บอกว่าภาพหาย เพียงแค่บอกว่าไม่พบภาพเหตุการณ์ จึงน่าสงสัยว่าไม่มีภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะส่งไปที่กองพิสูจน์หลักฐานหรือไม่ ทั้งนี้ศาลได้บันทึกรายงานของกองพิสูจน์หลักฐานไว้หมดว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด อย่างไรก็ตามส่วนตัวยังคิดว่าภาพจากล้องวงจรปิดยังเป็นหลักฐานสำคัญที่จะคลี่คลายให้เรื่องนี้กระจ่างยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทีมทนายความจะคุยกันว่าจะให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบข้อมูลว่าภาพหายไปได้อย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ พล.ท.วิจักขฐ์ ศิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ต่างออกมายืนยันว่าได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว

“สังคมต้องออกมาเรียกร้องว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านบ้านรินหลวง ขณะวิสามัญชัยภูมิ หายไปได้อย่างไร เนื่องจากทั้งผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 3 ต่างออกมายืนยันว่าได้เห็นภาพดังกล่าวแล้ว และเราอยากรู้ว่าถ้าเห็นแล้ว ไปเห็นมาจากไหน ตอนนี้ภาพนั้นยังอยู่หรือไม่”นายสุมิตรชัย กล่าว

ทนายความผู้เสียชีวิต กล่าวต่อว่า การไต่สวน 2 วันที่ผ่านมา ในส่วนเรื่องของอาวุธที่พบในที่เกิดเหตุ ทั้งมีด และระเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่าชัยภูมิ ใช้เพื่อขัดขืนต่อสู้ ขณะตรวจค้น ปรากฎว่าไม่พบลายนิ้วมือที่มีด ส่วนระเบิดมีดีเอ็นเอบางส่วนของชัยภูมิประปนอยู่ ซึ่งลูกระเบิดนั้นไม่ได้มีดีเอ็นเอของชัยภูมิคนเดียว แต่มีของหลายคนรวมอยู่ด้วย

ทั้งนี้ นายสุมิตรชัย เคยให้สัมภาษณ์ข่าวสด ก่อนหน้านี้ว่า ทำไมทหารที่เป็นคู่กรณีสามารถดูภาพในกล้องวงจรปิดได้ แต่แม่ผู้ตายที่เป็นผู้เสียหายกลับถึงไม่ได้ดู แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเขาผิดจริงไหม และหากพนักงานสอบสวนไม่อนุญาติให้ดูก็ต้องอธิบายให้ได้ว่าเพราะอะไร เพราะที่ผ่านมามีการเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดในหลายคดี และทำเป็นเหมือนเรื่องปกติไปแล้ว และหากภาพในกล้องวงจรปิดมีอยู่จริง จะเปิดก่อนหรือหลังก็คงไม่ต่างกัน และถ้าคิดว่าเจ้าหน้าที่ทหารปฎิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง การเปิดภาพจากกล้องที่มีอยู่ในจุดเกิดเหตุประมาณ 5-6 ตัว น่าจะทำให้สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งกล้องในที่เกิดเหตุก็เป็นพื้นที่สาธารณะที่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ และกฎหมายก็ไม่ได้ห้ามที่จะเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน