ชาววังน้ำเขียวเดือด โต้ ‘ชัยวัฒน์’ ให้ข่าวด้านเดียว ชี้นำสังคม หวังล้มเลิกแบ่งเขต อุทยานทับลาน One Map งัดหลักฐานยัน อยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยานปี 24
นครราชสีมา – ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ บ้านไทยสามัคคี หมู่ 1 คุ้มคลองกระทิง ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ภายหลังมีประเด็นข้อพิพาทระหว่างอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่การประกาศเขตอุทยานทับพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่ ต.ไทยสามัคคี ซึ่งกินพื้นที่ไปทั้งหมด 3 ตำบลได้แก่ ต.ไทยสามัคคี ต.วังน้ำเขียว และตำบลอุดมทรัพย์ ซึ่งเป็นพื้นที่กว่า 30,000 ไร่
โดย อุทยานแห่งชาติทับลาน อาศัยประกาศเขตพื้นที่อุทยานปี 2524 ในการฟ้องร้องชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านงัดหลักฐานโต้กลับ โดยอาศัยประกาศเขตพื้นที่อุทยานปี 2543 ซึ่งได้มีการลงพื้นที่สำรวจและปักหมุดประกาศเขตพื้นที่อุทยานเมื่อปี 2537 โดยในเวลานั้นมีตัวแทนจากหลายหน่วยงานเข้าร่วมการเดินสำรวจในครั้งนั้นทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จากอุทยาน
นายกิตฌพัฒน์ จ้ายนอก อายุ 42 ปี ชาวบ้านคุ้มคลองกระทิง บ้านไทยสามัคคี หมู่ 1 ต.ไทยสามัคคี หนึ่งในชาวบ้านที่ถูกฟ้องดำเนินคดี พาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ดูหลักเขตของอุทยานแห่งชาติ ที่เริ่มเดินสำรวจและปักหมุดในช่วงปี 2537 ซึ่งถนนที่เดินทางไปนั้นจะเป็นถนนลูกรังที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้เดินทางไปทำการเกษตร
- อธิบดีอุทยานฯชี้เรื่องดีตื่นตัว #Saveทับลาน วงในปูดทุบเอา 2.65 แสนไร่
- มูลนิธิสืบฯ-โลกออนไลน์ แห่ค้าน เพิกถอนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติทับลาน 2.65 แสนไร่
โดยฝั่งขวามือนั้นจะเป็นเขตพื้นที่ของชุมชนซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่มาทำการเกษตร ส่วนฝั่งด้านซ้ายมือนั้นจะเป็นฝั่งของอุทยาน ซึ่งหลังจากเดินทางไปประมาณ 1 กิโลเมตร ห่างจากถนนไม่ไกลนักจะเห็นหลักแสดงเขตพื้นที่ของอุทยานใกล้กันนั้นยังพบหลักแสดงพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์
จากการสอบถาม นายกิตฌพัฒน์ ทราบว่า หลักแสดงเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์นั้นมาก่อนและหลักแสดงเขตพื้นที่อุทยานนั้นทยอยตามมาภายหลัง โดยเริ่มปักหลักในช่วงปี 2537 แต่อย่างไรก็ตามจากการที่อุทยานฯทับลานใช้ประกาศของกรมอุทยานฯในปี 2524 นั้นสร้างผลกระทบให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก
นายกิตฌพัตน์ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนและชาวบ้านในพื้นที่ตอนนี้นั้นได้รับผลกระทบจากประกาศปี 2524 ที่ประกาศทับพื้นที่ชุมชนทั้งอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ ซึ่งตนและชาวบ้านยืนยันอยากให้ทางอุทยานฯใช้ประกาศของปี 2543 ที่สำรวจและแก้ไขใหม่ตั้งแต่ปี 2537
โดยสภาพความเป็นจริงของพื้นที่นั้นเป็นชุมชนและเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมาก่อนแล้วก่อนที่จะมีการประกาศปี 2524 โดยเริ่มมาอยู่อาศัยตั้งแต่ช่วงปี 2500 มีหลักฐานการก่อตั้งหมู่บ้าน การตั้งโรงเรียนไทยสามัคคี และการตั้งวัดไทยสามัคคี ก่อตั้งโดยทางกองทัพภาคที่ 2 โดยใช้ชื่อหมู่บ้านว่าไทยสามัคคี เพื่อเป็นการต่อต้านภัยคุมคามจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น ปู่ของตนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี 2503 ก่อนสืบทอดต่อกันมาจนถึงรุ่นของตนคือรุ่นที่ 3 แล้ว
นายกิตฌพัตน์ กล่าวต่อว่า ตนอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่ถูกอุทยานประกาศเขตพื้นที่ทับพื้นที่ชุมชนกว่า 90 หมู่บ้านรวม 5 อำเภอ ถึงแม้ว่ากระแสสังคมจะมองว่าตนและชาวบ้านในพื้นที่นั้นเป็นผู้บุกรุก ซึ่งเท่าที่เห็นนั้นส่วนใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นจะเป็นชาวบ้านที่อยู่อาศัยมาแต่ก่อนแล้ว
ส่วนนายทุนนั้นจะมีอยู่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เนื่องจากถ้าดูตามหลักฐานแล้วชุมชนนั้นมีอยู่มาก่อนที่อุทยานจะประกาศเขตพื้นที่อุทยานเสียอีก ซึ่งตนและชาวบ้านนั้นไม่ต้องการให้ออกเป็นโฉนดที่ดินขอแค่เพียง สปก.เอาไว้อยู่อาศัยและทำกินเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกัน นางปิ่นแก้ว เหิมขุนทด ชาวตำบลไทยสามัคคี หนึ่งในชาวบ้านที่ถูกทางอุทยานฯทับลานฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาล นางปิ่นแก้ว กล่าวว่า ตนนั้นมีพื้นที่อยู่ประมาณ 4 ไร่กว่า ซึ่งรับมาจากพ่อของตนซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ประมาณปี 2500 ส่วนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้นั้นเป็นเอกสาร ภบท.5 ซึ่งตนมีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่เรื่อยมา
กระทั่งในปี 2524 มีการประกาศให้พื้นที่บริเวณตำบลไทยสามัคคีเป็นพื้นที่อุทยาน ต่อมาในปี 2555 ตนถูกอุทยานฯทับลานฟ้องร้อง ซึ่งปัจจุบันนี้ตนยังต้องไปขึ้นศาล และจะไปขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 19 ก.ย.นี้
จากการที่ถูกทางอุทยานฯทับลานฟ้องร้องดำเนินคดีนั้นส่งผลกระทบต่อตนเป็นอย่างมาก เนื่องจากหมดค่าใช้จ่ายในการไปจ้างทนายความเพื่อไปสู้คดี จ่ายค่าเดินทางไปขึ้นศาลรวมระยะเวลากว่า 12 ปี ตั้งแต่ถูกฟ้องตนเสียเงินไปแล้วหลายแสนบาท อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว เนื่องจากมีรีสอร์ตปิดตัวลงชาวบ้านตกงานขาดรายได้ซ้ำยังมาเจอปัญหาเศรษฐกิจอีกทำให้ตอนนี้ตนมีความเครียดเป็นอย่างมาก
ซึ่งตนนั้นอยากให้ทางรัฐบาลดำเนินการประกาศปี 2543 ซึ่งเป็นประกาศที่กันพื้นที่ชุมชนออกจากป่า เนื่องจากหลักฐานเอกสารรวมไปถึงหลักที่แสดงเขตพื้นที่อุทยานปี 43 นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าชาวบ้านนั้นอยู่อาศัยมาก่อนอุทยานจะประกาศเสียอีก
ขณะที่ นายสมบูรณ์ สิงกิ่ง นายก อบต.ไทยสามัคคี กล่าวว่า จากกรณีที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ได้รับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ที่มีส่วนได้-ส่วนเสีย ตามมาตรา 8 ตามกฎหมายอุทยานแห่งชาติ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกตื่นตัวกันมาก เพราะเรื่องนี้จะเกี่ยวเนื่องกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 ซึ่งให้อุทยานฯ กันพื้นที่ออกตามแผนที่วันแมพ
แต่หลังจากที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานฯ พยายามนำข้อมูลเพียงด้านเดียวมาให้ข่าวชี้นำสังคมให้เกิดความคล้อยตาม เพื่อไม่ให้มีการกันพื้นที่กว่า 2 แสนไร่นี้ออกไปจากเขตอุทยานฯ นั้น ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เพราะความจริงนั้นการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน เมื่อปี 2524 เป็นการประกาศเขตทับที่อยู่อาศัยของประชาชน จำนวน 97 ชุมชน ที่ตั้งรกรากอยู่มาก่อนนานแล้ว นับว่าเป็นการประกาศเขตอุทยานทับซ้อนชุมชนมากที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรื่องนี้ทางอุทยานแห่งชาติ และนักอนุรักษ์ ต้องยอมรับก่อนว่าเป็นเรื่องจริง แต่การให้ข่าวของนายชัยวัฒน์ ทำให้เกิดการบิดเบือนจากความเป็นจริงดังกล่าว
ทั้งนี้เรื่องการกันเขตอุทยานฯ เคยมีมติ ครม.ออกมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 40 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 14 มี.ค.66 ซึ่งการจะมีมติ ครม.ต้องผ่านการกลั่นกรองโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาอย่างดีแล้ว เพราะพื้นที่ที่มติ ครม.ให้กันออกไปกว่า 2 แสนไร่นี้ ไม่มีสภาพความเป็นป่าหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี 24 นั้น มีวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคง เพื่อต้องการควบคุมพื้นที่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังนั้นจึงมีการเร่งรีบประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออกมาจำนวนมากถึง 20 แห่ง ในปีเดียว โดยยึดตามภาพทางอากาศเป็นหลัก ไม่มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ลงพื้นที่มาสำรวจอย่างทั่วถึงแต่อย่างใด
ทำให้เกิดการทับซ้อนพื้นที่ชุมชนจำนวนมาก สังเกตได้จากพื้นที่ ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว เดิมทีนั้นเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ที่ทางกองทัพภาคที่ 2 ไปตั้งชุมชนไทยสามัคคีขึ้นมา และมีกระบวนการตั้งหมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2521 ก่อนที่จะมีการประกาศเขตอุทยานฯ ในปี 2524
แต่ภายหลังมีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวขึ้นมา บางจุดมีการทำเป็นรีสอร์ต ทำให้เกิดการจับกุมดำเนินคดีต่างๆ จึงกลายเป็นข้ออ้างที่สำนักอุทยานแห่งชาติ นำมาเป็นเหตุไม่ยอมให้มีการกันพื้นที่ออกไป ซึ่งกระบวนการกันพื้นที่มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนเสร็จแล้ว
ถ้าไม่เชื่อชาวบ้าน ไม่เชื่อผู้นำอย่างตน ก็ไปดูข้อมูลของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งทำสรุปไว้อย่างละเอียดและดีมาก แต่ถ้ายังยืนยันว่าจะไม่กันออกมา ชาวบ้านก็จะถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ทำมาหากิน เพราะจะทำอะไรก็ไม่ได้ ติดขัดข้อกฎหมายของอุทยานฯ ไปหมด
ถึงแม้ว่าจะบอกว่ามีมาตรา 64 ของกฎหมายอุทยานฯ แต่เมื่อชาวบ้านจะไปไถที่ทำการเกษตร หรือจะปลูกบ้านเรือน ก็จะถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จ้องที่จะจับกุมดำเนินคดีต่อเนื่อง ถ้าตราบใดที่ยังเป็นเขตอุทยานฯ วิถีชีวิตของชาวบ้านก็จะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน จึงขอความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านด้วย