สมุทรปราการ ภรรยาโร่ขอความช่วยเหลือ ตามหาสามี หายตัว 5 วัน เข้าป่าหญ้ากว้าง สุดท้ายกลายเป็นศพ เมียทราบเรื่อง ปล่อยโฮแทบขาดใจ สูญเสียคนรัก
24 ก.ค. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพวงจรปิดริมถนนเทพรัตน ปากซอยบางนาการ์เด้น จับภาพได้ช่วงเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ก.ค. 67 ขณะที่ นายคาวี อายุ 35 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี พบว่าเดินออกมาจากที่ทำงานในโชว์รูมรถแห่งหนึ่งย่านบางเสาธง ก่อนจะเดินเข้าซอยสำนักงานที่ดิน แล้วหายเข้าไปในป่าหญ้ารกทึบด้านหลังที่ติดกับหลังโรงพักบางเสาธง
ซึ่งทาง ภรรยาและบิดา นายคาวี พร้อมกับเพื่อนร่วมงานได้ตามเส้นทางจากกล้องวงจรปิดดังกล่าวเข้าไปยังป่าหญ้าบนที่ดินว่างเปล่าเนื้อที่หลายสิบไร่ จนไปเจอว่า นายคาวี นั้นถอดรองเท้าไว้ในป่าหญ้า ซึ่งเป็นรองเท้าคู่เดียวกันกับที่ นายคาวี สวมใส่ตามภาพในกล้องวงจรปิด
ภรรยาจึงตัดสินใจประสานขอความช่วยเหลือมายังนักข่าวประจำจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขอให้ช่วยตามหา และใช้โดรนบินค้นหาเนื่องจากเป็นที่ค่อนข้างกว้าง หลังจากที่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือ จึงเดินทางลงพื้นที่ ตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ 23 ก.ค. 67
จากนั้นมีการประสาน พ.ต.อ.โสภณ มงคงโสภณรัตน์ ผกก.สภ.บางเสาธง พร้อมกับฝ่ายปกครองอำเภอบางเสาธง ผู้ใหญ่บ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลบางเสาธง เจ้าหน้าที่รักษาดินแดนกองร้อยอำเภอบางเสาธง และ เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง สนธิกำลังทั้งชายหญิงรวมกว่า 30 นาย เปิดปฏิบัติการค้นหา นายคาวี ในพื้นที่รกร้างดังกล่าว
แต่จากการลงพื้นที่กับพบปัญหาและอุปสรรคมากมาย เนื่องจากเป็นป่าหญ้ารกทึบมีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นสูงกว่า 3 เมตร และพื้นยังเป็นพื้นที่มีน้ำเน่าเหม็นท่วมขัง ทำให้การเดินเท้าค้นหาของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างยากลำบาก สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตัดสินใจแบ่งกำลังเดินเท้าเข้าอีกด้านฝั่งตรงข้ามของที่ดินว่างเปล่าแปลงดังกล่าว
กระทั่งเวลา 17.15 น. เจ้าหน้าที่เดินผ่านบ้านร้างข้างต้นไทรใหญ่หลังหนึ่ง จนได้กลิ่นต้องสงสัยจึงเดินตามกลิ่นจนไปพบ นายคาวี เสียชีวิตห้อยอยู่โคนต้นกระถินณรงค์ขนาดใหญ่ข้างร่องน้ำลึก สภาพสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่พบตามภาพวงจรปิด ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตมาแล้ว 5 วัน
ขณะที่ ภรรยา พอทราบข่าวเจอศพสามี เจ้าตัวถึงกับร้องไห้โฮแทบขาดใจจนหมดแรง กู้ภัยและญาติต้องประคองตัวไปนั่งพักและปฐมพยาบาลให้กับภรรยาเป็นการด่วนหวั่นเป็นลมช็อกไปอีกคน
ต่อมาจึงมีการประสานเจ้าหน้าที่มูลนิธิ และ พนักงานสอบสวนพร้อมกับแพทย์นิติเวชสถาบันรามาจักรกรีนฤบดินทร์ ร่วมกันชันสูตรศพ นายคาวี ซึ่งพบใช้เชือกไนล่อนสีแดงผูกคอตนเองกับกิ่งไม้ต้นกระถินณรงค์
ด้าน นางสาวเจี๊ยบ ภรรยา เปิดเผยว่า ตนเองกับสามีทำงานกันคนละที่ พักคนละแห่ง ที่ผ่านมาก็จะคอยโทรหากันเป็นประจำทุกวัน ก่อนจะหายตัวไปที่ติดต่อไม่ได้คือวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ และบอกเรื่องดังกล่าวกับทางพ่อของสามีที่อยู่อุบล แต่ที่ผ่านมาในระหว่างนั้นตรงกับวันหยุด จึงทำอะไรได้ไม่มาก โดยเฉพาะเรื่องกล้องวงจรปิด
ขณะที่พ่อของสามีได้ไปดูร่างทรงแห่งหนึ่งที่อุบล ระบุพิกัดมาจุดใกล้ที่ทำงานและให้รีบมาหา พ่อสามีจึงรีบเดินทางมาจากอุบล และไปช่วยกันไล่กล้องวงจรปิดจนพบว่าเดินเข้ามายังป่าดังกล่าวกระทั่งพบว่าเสียชีวิต
ส่วนสาเหตุไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร เพราะไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ยอมรับว่า สามีเสพกัญชาเยอะ มาช่วงหลัง เริ่มมีอาการหลอนบ้างและนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน จนเกิดความเครียดและปวดหัว
ซึ่งตนเองก็ยังไม่ทันได้ซื้อยามาให้สามีก็มาหายตัวไป จนมาพบกลายเป็นศพ ขณะที่เพื่อนร่วมงานระบุว่า นายคาวี เคยพูดทำนองว่า เห็นระเบิดบ้างในรถลูกค้าบ้าง เห็นอะไรแปลกๆ บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดเหตุดังกล่าว
จากนั้นภรรยาได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางปักกลางแจ้ง เพื่อขอนำร่างสามีออกมา และทางพ่อก็ได้จุดธูปเชิญวิญญาณลูกออกมาจากจุดเกิดเหตุตามความเชื่อ ท่ามกลางบรรยากาศวังเวง ช่วงโพล้เพล้ยามเย็น และมีสายฝนตกลงมา อาสาและเพื่อนร่วมงานของผู้เสียชีวิตที่มาช่วย ต้องช่วยกันนำร่างผู้เสียชีวิตออกมา แข่งกับเวลาที่ใกล้ค่ำลง และพื้นที่ค่อนข้างเข้าถึงยากลำบาก เป็นร่องน้ำและหญ้ารกร้าง ต้องใช้บันไดไม้พาดผ่าน ไปนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาอย่างทุลักทุเล
จากนั้นจะนำร่างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรยัง รพ.รามาจักรีนฤบดินทร์ ดำเนินการตามขั้นตอนกฏหมาย และทางครอบครัวจะพาร่างกลับบ้านเกิดยังอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ต่อไป