กรมวิชาการเกษตร เร่งโมเดลค้าคาร์บอนเครดิตพืชเศรษฐกิจ ปั้นเป็นเงินออมเกษตรกร เผย สิ้นปี’67 ครบ 6 ชนิดสำคัญ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ภายในเดือนกันยายน 2567 กรมคาดว่าจะได้โมเดลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมันสำปะหลัง เป็นพืชตัวแรกของพืชเศรษฐกิจนำร่อง 6 ชนิด
และภายในปี 67 นี้จะครบทั้งหมดเพื่อใช้ขยายผลให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน หรือหน่วยงานที่สนใจใช้ประโยชน์สำหรับเข้าโครงการขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก.
ปัจจุบันกรมได้เตรียมหน่วยงานตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร(CB) ซึ่งใกล้จะได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม( สมอ.) และได้อบรมเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ(VVB) ตามหลักสูตรของอบก.จำนวน 31 ราย
รวมถึงตั้งหน่วยงานกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร เพื่อให้บริการต่อประชาชน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานและนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“กรมอยู่ระหว่างทำเส้นฐานคาร์บอนเครดิตของพืชเศรษฐกิจหลักระดับประเทศ (National Carbon Credit Baseline) เป็นฐานคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้คิดค่าตอบแทนการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตและเกษตรกร โดยพืชนำร่องคือ อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง ทุเรียน มะม่วง สำหรับการขายคาร์บอนเครดิตนี้ ถือว่าเป็นเงินออมของเกษตรกรอีกก้อนหนึ่งอนาคตจะขยายไปพืชอื่นด้วย
และจะขยายการรับรองคาร์บอนเครดิตไปที่กิจการการใช้ถ่านไบโอชาร์ Biochar ด้วย นอกจากนั้นจะศึกษาวิจัยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในพืชเศรษฐกิจสำหรับส่งเสริมการเกษตรพืชคาร์บอนต่ำ เพื่อเพิ่มโอกาสแข่งขันทางการตลาดการค้าของไทยในตลาดโลกซึ่งในไทยมีความต้องการคาร์บอนเครดิตอีกมาก” นายรพีภัทร์กล่าว
นายสมคิด ดำน้อย ผู้อำนวยการกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่ฯ เปิดเผยว่า กรมได้เชิญหน่วยงานรับรองก๊าซเรือนกระจก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ตรวจประเมินภายนอก (VVB ) ของโครงการก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในแปลงมันสำปะหลัง จ.ระยอง พื้นที่ 87 ไร่ของกรม เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลปริมาณคาร์บอนฯที่สะสมในดินของแปลงโครงการมาคำนวณเป็นผลตอบแทน ซึ่งราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปี 67 อยู่ที่ประมาณ 132 บาทต่อตันคาร์บอนฯ
โดยประมาณการรายได้ของพืชเศรษฐกิจนำร่อง 6 ชนิด เนื่องจากยังไม่มีการซื้อขายในภาคเกษตร กรมจึงใช้ฐานราคาจากค่าเฉลี่ยโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ เฉลี่ยราคาตันละ 172 บาท (ราคาปี66) มาคำนวณโดยยางพารา มีค่าคาดการณ์ปริมาณคาร์บอนเครดิต 4.20 ตันคาร์บอนฯต่อไร่ต่อปี มีมูลค่า 722,400 บาทต่อพื้นที่ 1,000 ไร่ต่อปี มันสำปะหลังได้คาร์บอนฯ 3.02 ตันต่อไร่ มูลค่า 519,440 บาทต่อ 1,000 ไร่ต่อปี เป็นต้น
ทั้งนี้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจนั้น กวก.และ อบก.แนะนำว่าเกษตรกรควรรวมตัวเป็นสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนให้ได้พื้นที่รวมกัน 500-1,000 ไร่ขึ้นไป และขายคาร์บอนฯในปีที่ 7 ตามอายุโครงการ T-VER ภาคเกษตร จะมีความคุ้มค่ามากที่สุด.