เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ท่าน้ำวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ รอง ผบก.น.8 เปิดโครงการนาวาสัญจร ย้อนยุค แต่งชุดไทยล่องเรือไหว้พระ บางเก่า-บางกอก นำคณะข้าราชการตำรวจ กต.ตร.และประชาชน ในพื้นที่ บก.น.8 สวมชุดไทย ล่องเรือ ทำบุญ ไหว้พระ 9 วัด ซึ่งมีที่ตั้งติดอยู่เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าเพื่อระลึกถึงความเป็นไทย ส่งเสริมความรัก ความสามัคคี และรำลึกถึงวิถีชีวิตการอยู่อย่างไทย ปฏิบัติตนด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ตามพระราชปณิธานที่ทรงมั่นหมายของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

โดยหลังจากนั้น พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 สวมชุดไทยถือไม้ตะพด เดินทางไป สน.บุปผาราม แถลงผลงานของ พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า ผกก.สน.บุปผาราม พ.ต.ท.อุดมพล เอื้อศิลามงคล รอง ผกก.สส.สน.บุปผาราม และ พ.ต.ต.สมมาตร วงษ์ดี สว.สส.สน.บุปผาราม จับกุมตัว น.ส.จุฑารัตน์ หรือเอ บุญสม อายุ 38 ปี และนายอภิเดช หรือตุ้ม ถาวรอภิชาต อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ จ.260/2561 และ 262/2561 ลงวันที่ 5 เม.ย.61 ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป” พร้อมของกลาง รถจยย.ฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีดำ ทะเบียน 7 กท 3192 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุ เหล็กรูปตัวทีและตัวแอล 1 ชุด หมวกนิรภัย 2 ใบ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุ 1 ชุด โดยจับกุมตัว น.ส.จุฑารัตน์ ได้ที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ถนนเพชรเกษม ก่อนขยายผลติดตามจับกุมตัว นายอภิเดช ได้ที่ห้องเช่าย่านบางแค

พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา มีผู้เสียหาย นำรถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีเทา ทะเบียน 7 กญ 4549 กรุงเทพมหานคร ไปจอดไว้ที่ลานด้านข้างห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนอิสรภาพ เพื่อทำธุระ ต่อมาพบว่ารถดังกล่าวสูญหายไปจึงเข้าแจ้งความที่ สน.บุปผาราม จากนั้นฝ่ายสืบสวน สน.บุปผาราม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบภาพผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย กำลังขับขี่และซ้อนท้าย รถ จยย.ฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีเทา ทะเบียน 7 กท 3192 กรุงเทพมหานคร มาที่จุดเกิดเหตุ จากนั้นนายอภิเดชลงจากรถ เพื่อนำเหล็กรูปตัวทีไปไขกุญแจรถของผู้เสียหายขับหลบหนีออกมา โดยขากลับ น.ส.จุฑารัตน์ ก็ขับรถจยย.ตามประกบไปด้วย จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถดังกล่าว พบว่ามีชื่อน.ส.จุฑารัตน์ เป็นผู้ครอบครอง ฝ่ายสืบสวนจึงติดตามไปจับกุมน.ส.จุฑารัตน์ ไว้ได้ก่อนขยายผลไปรวบตัว นายอภิเดช ได้บริเวณห้องพักแถวแยกกำนันแม้นพร้อมรถที่ใช้ก่อเหตุ

จากการสอบสวน นายอภิเดช ยอมรับว่า เคยคบหาเป็นสามี-ภรรยากับน.ส.จุฑารัตน์มาก่อน โดยเมื่อปี 2550 เคยร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์รถจยย.ในท้องที่ สน.หนองค้างพลู กระทั่งน.ส.จุฑารัตน์ ถูกจับเมื่อปี 2558 ส่วนตนเองหลบหนีหมายจับไปอยู่ตามที่ต่างๆ มาได้จนคดีสิ้นอายุความ ต่อมาทราบว่าน.ส.จุฑารัตน์ พ้นโทษออกมาเมื่อ 5 เดือนก่อน และพักอาศัยอยู่กับญาติในหมู่บ้านเศรษฐกิจ ย่านเพชรเกษม จึงติดต่อไปชักชวนมาร่วมก่อเหตุลักทรัพย์ รถจยย.อีกครั้ง โดยให้น.ส.จุฑารัตน์นำรถจยย.ออกจากบ้านพามาก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนอิสรภาพ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้รถจยย.ฮอนด้า รุ่นเวฟ ไม่ทราบทะเบียน มา 1 คัน

กระทั่งครั้งนี้ก่อเหตุเป็นครั้งที่ 2 ก็มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแกะรอยติดตามไปจับกุมตัวได้ ซึ่งแต่ละครั้งจะมีเอเย่นต์ชื่อนายแมค ไม่ทราบชื่อและนามสกุล โทรศัพท์มาสั่งตนให้นำรถจยย.ที่โจรกรรมมา ไปจอดไว้ที่ถนนพุทธมณฑล สาย 1 จากนั้น นายแมคจะโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มเข้าบัญชีตน โดยให้ค่าจ้างคันละ 6,000 บาท มาแบ่งกันคนละครึ่งกับน.ส.จุฑารัตน์ อดีตภรรยานำไปใช้จ่ายประจำวัน

ด้าน พ.ต.อ.ภูมิยศ กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบภาพผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ร่วมลงมือก่อเหตุอย่างเป็นระบบ มีความเป็นโจรอาชีพสูงและใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เบื้องต้นทั้ง 2 ราย ยอมรับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุแค่ 2 คัน ตามหลักฐานที่มีภาพวงจรปิดบันทึกเอาไว้ได้ แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ จึงอยากประชาสัมพันธ์ไปถึงพนักงานสอบสวน ตามโรงพักต่างๆ ที่เคยรับแจ้งความคนร้ายชายและหญิง ร่วมกันก่อเหตุลัก รถ จยย.เอาไว้ ขอให้นำภาพหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เกิดเหตุมาเปรียบเทียบกับรูปพรรณและแผนประทุษกรรม ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เพื่ออายัดตัวดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน