รายงานใหม่สหรัฐสอดคล้องยูเอ็น ชี้ชัดกองทัพพม่ากวาดล้างโรฮิงยา
รายงานใหม่สหรัฐสอดคล้องยูเอ็น – เมื่อวันที่ 25 ก.ย. เอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกายืนยันการพบหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความรุนแรงอย่างเป็นระบบต่อชาวมุสลิมโรฮิงยาจากปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าที่อ้างว่าเพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งในพื้นที่รัฐยะไข่ส่งผลให้มีชาวโรฮิงยาหนีตายไปยังบังกลาเทศเกือบ 1 ล้านคน
อ่านต่อ:
- โหดเกินหยั่งถึง! รายงานใหม่ยูเอ็นลงลึก ช็อกวิธีทหารพม่าล้างโรฮิงยา
- ความจริงที่ปิดไม่อยู่ รอยเตอร์เปิดรายงาน-ภาพช็อกโรฮิงยา ก่อน-หลังลงหลุมศพฆ่าหมู่ !!
พร้อมกันนี้ ทางการสหรัฐยังประกาศจะสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เป็นจำนวน 185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,000 ล้านบาท นำไปใช้ดูแลผู้อพยพชาวโรฮิงยาด้วย
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยรายงานการสำรวจที่ได้จากการสัมภาษณ์ชาวโรฮิงยากว่า 1,000 คน ในค่ายพักพิงบังกลาเทศ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พบข้อมูลที่สอดคล้องกับรายงานของทั้งหน่วยงานสิทธิมนุษยชนและยูเอ็น ที่กล่าวหาว่าทางการพม่าเข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ที่นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดการสอบสวนเบื้องต้นแล้ว โดยพิจารณาว่ามีอำนาจสอบสวนเพราะบังกลาเทศเป็นสมาชิกธรรมนูญกรุงโรม
อย่างไรก็ตาม รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐหลีกเลี่ยงการใช้ข้อกล่าวหาว่าเข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยระบุว่า “การสำรวจเผยให้เห็นความรุนแรงในรัฐยะไข่ทางภาคเหนือของพม่าว่าอยู่ในขั้นรุนแรงมาก และเกิดเป็นบริเวณกว้าง มีลักษณะคล้ายเพื่อสร้างความหวาดกลัวและขับไล่ชาวโรฮิงยาออกไป” และว่า “ลักษณะดังกล่าวบ่งชี้ว่ามีการปฏิบัติที่เป็นระบบและวางแผนมาเป็นอย่างดี”
รายงานระบุว่า ในบางพื้นที่นั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุใช้วิธีการที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อาทิ จับขังไว้ในบ้านแล้วจุดไฟเผา และล้อมรั้วชุมชนแล้วกราดยิงเข้าไปภายใน รวมไปถึงการจมเรือที่มีผู้อพยพอยู่เต็มลำ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 82 อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง อีกร้อยละ 51 ระบุว่า มีการข่มขืนเกิดขึ้น
ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลสวมใส่เครื่องแบบทหารคัดแยกหญิงสาวและบีบบังคับให้ออกมาจากบ้าน บางครั้ง 4-5 คน มากที่สุดถึง 20 คน หรือบางครั้งจะเดินไปตามบ้านล่าหญิงสาวที่สวยที่สุด ซึ่งจะถูกเจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 15 นาย นำตัวไปยังสถานที่ เช่น ทุ่งนา ป่าละเมาะ บ้าน สถานศึกษา สถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รวมไปถึงสุขา เพื่อรุมโทรม ในบางกรณีหญิงสาวเหล่านี้จะถูกสังหารหลังผู้ก่อเหตุใช้สำเร็จความใคร่แล้วเสร็จ
นอกจากนี้ การสำรวจยังพบด้วยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นร้อยละ 88 มีต้นตอมาจากฝ่ายกองทัพพม่า ขัดแย้งกับรายงานของทางการพม่าที่กล่าวโทษกองกำลังติดอาวุธปลดปล่อยชาวอาระกันโรฮิงยา หรืออาร์ซา และสอดคล้องกับพยานที่แทบไม่มีใครเห็นอาร์ซาก่อความรุนแรงต่อชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นสิ่งที่พม่าอ้างว่าก่อเหตุโจมตีจุดตรวจกองทัพเป็นสาเหตุไปสู่ภารกิจกวาดล้างตั้งแต่เดือนต.ค. 2559