สองชีวิตน้อยๆจากบ้านเกิด เดินทางมาตายในดินแดนเสรีภาพ
สองชีวิตน้อยๆจากบ้านเกิด
เด็กชายเฟลิเป โกเมซ อลอนโซ อายุ 8 ขวบ ชาวกัวเตมาลา เป็นเด็กน้อยผู้อพยพที่ไม่น่าจะมีใครรู้จัก
แต่เมื่อเด็กชายสิ้นลมหายใจในวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม 2561 ระหว่างอยู่ในการกักกันของเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกา หนูน้อยก็เป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก
ความตายของเจ้าหนูเฟลิเป เกิดขึ้นต่อเนื่องจาก เด็กหญิงเจกลีน คาล อายุ 7 ขวบ ชาวกัวเตมาลาเช่นเดียวกัน เสียชีวิตหลังจากถูกกักตัวนาน 8 ชั่วโมง
กรณีนี้ก่อให้เกิดข้อพิพาททางการเมือง จนสมาชิกพรรคเดโมแครต ฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ไม่เห็นชอบกับร่างงบประมาณของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐที่จะเอาไปสร้างกำแพง ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 165,000 บาท จนทำให้ร่างยังไม่ผ่านสภา และเกิดภาวะชัตดาวน์ส่วนราชการข้ามปีมาแล้ว
ทรัมป์กล่าวโทษว่า ความตายของเด็กทั้งสองเป็นความผิดของพรรคเดโมแครต
“ความตายของเด็กๆ หรือคนอื่นๆ ที่พรมแดนนั้นเป็นความผิดของพวกเดโมแครตและนโยบายอันน่าเวทนา ปล่อยให้คนเดินเท้ามาไกลเพราะคิดว่าจะเข้ามาในประเทศเราอย่างผิดกฎหมายได้ ถ้าเรามีกำแพงล่ะก็ คนพวกนี้ก็จะไม่มาตายเอาดาบหน้าแบบนี้หรอก”
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ทวีตข้อความเกี่ยวกับการตายของเด็กทั้งสองด้วยข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบมาให้แน่ชัด
“น่าสงสัยว่าเด็กทั้งสองป่วยอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะถูกควบคุมตัวมาที่ด่านลาดตระเวนชายแดน และสำหรับพ่อของเด็กหญิง เขาไม่ได้ให้น้ำลูกสาวมาหลายวันแล้ว” นายทรัมป์เขียน
ข้อความนี้ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่สำนักงานป้องกันชายแดนของสหรัฐเผยแพร่ออกมาเอง
นายเนรี กิลแบร์โค คาล คูซ พ่อของเด็กยืนยันว่าคอยดูแลลูกสาวให้ได้รับน้ำและอาหารเพียงพอระหว่างเดินทางผ่านประเทศเม็กซิโกจนเข้ามาถึงชายแดนสหรัฐ และข้อมูลนี้ตรงกับของเจ้าหน้าที่สหรัฐที่ระบุว่า เด็กไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ และไม่พบว่าเด็กหญิงอยู่ในภาวะขาดน้ำ
เด็กหญิงเจกลีน เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัว 8 ชั่วโมงที่ด่านตรวจข้ามพรมแดน ในพื้นที่ของสหรัฐ
การสอบสวนเบื้องต้นของหน่วยงานตรวจตราพรมแดนและศุลกากรสหรัฐ หรือ ซีบีพี ระบุว่าเด็กหญิงเดินทางมาพร้อมพ่อและเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย พร้อมกับผู้อพยพอื่นๆ ราว 100 คน จึงถูกกักตัวไว้เมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 ธ.ค. เด็กผ่านกระบวนการคัดกรองและพบว่าไม่มีปัญหาสุขภาพ ก่อนถูกกักในสถานที่ที่มีอาหาร น้ำ และห้องน้ำหลายห้อง
ต่อมาถูกพาขึ้นรถบัสพร้อมพ่อ ไปยังจุดตรวจพรมแดนที่ใกล้ที่สุดระยะทาง 151 กิโลเมตรเพื่อส่งคืน เด็กหญิงเริ่มอาเจียนขณะอยู่บนรถ ต่อมาหยุดหายใจ เมื่อถึงจุดตรวจ เด็กหญิงได้รับการรักษาฉุกเฉินและฟื้นคืนสติสองครั้ง ขณะมีไข้ 40.9 องศาเซลเซียส ก่อนถูกนำตัวส่งทางเครื่องบินไปโรงพยาบาลในเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส
จากนั้นเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายและถูกวินิจฉัยว่าสมองบวมและตับล้มเหลว
ช่วงสองสามสัปดาห์ท้ายของปี 2561 มีผู้อพยพราว 7,500 คนมุ่งหวังที่จะตั้งรกรากในอเมริกา แม้สหรัฐระบุว่าหากเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายจะถูกเนรเทศออกไป แต่หลายคนยอมเสี่ยงเพื่อหนีจากปัญหาเลือกปฏิบัติ ความรุนแรงและความยากจนในประเทศบ้านเกิด
กรณีของเด็กชายเฟลิเป
เจ้าหน้าที่ศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐระบุว่า เด็กแสดงอาการที่บ่งบอกว่าอาจป่วย เจ้าหน้าที่จึงอุนญาตให้พ่อเด็กพาเด็กไปโรงพยาบาลในเมืองอลาโมกอร์โด รัฐนิวเม็กซิโก ปรากฏว่าเด็กติดเชื้อหวัดและมีไข้สูง 39.4 องศา หมอจึงให้ยาและรอดูอาการ 90 นาที ก่อนให้ออกจากโรงพยาบาล ช่วงสายวันจันทร์ที่ 24 ธ.ค.
ต่อมาช่วงค่ำ เด็กถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลอีก ด้วยอาการคลื่นไส้และอาเจียน จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้
สำนักข่าวเอพีเดินทางไปยังบ้านเกิดของเด็กชายเฟลิเป อยู่ในเขตชนบท ที่เมืองยาลัมโบชอช ประเทศกัวเตมาลา และพบกับแม่เด็กที่มีอาการเศร้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
นางคาตารินา อลอนโซ เปเรซ เล่าว่า เฟลิเปได้รับเลือกให้เดินทางไปอเมริกากับพ่อ เพราะเห็นว่าเป็นลูกคนโต ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่ไปนั้นอันตรายถึงชีวิต เพราะเห็นหลายๆ ครอบครัวเดินทางไปและเข้าไปอเมริกาได้
“เราไม่มีทีวี เราไม่มีวิทยุ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้” คาตารินา โกเมซ พี่สาวของเจ้าหนูเฟลิเป กล่าว หลังจากไม่เคยได้ยินข่าวโศกนาฏกรรมที่เกิดกับผู้อพยพคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ รวมถึงมาตรการที่เคยแยกเด็กจากพ่อแม่ที่สะเทือนใจไปทั่วโลก
บ้านเกิดของเด็กชาย อยู่ในเขตเทือกเขา มีโรงเรียนเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง มีถนนขรุขระดูออกว่า ใช้ไม่ได้แน่ในหน้าฝน ส่วนบ้านของเด็กไม่มีประปาหรือไฟฟ้า
ชุมชนแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของครองครัวที่อพยพไปอยู่เม็กซิโกในช่วงเกิดสงครามกลางเมือง ปี 2503-2509 และเดินทางกลับมาหลังจากสงครามยุติลง แต่สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนยังคงแร้นแค้นเรื่อยมา รัฐบาลก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของประชาชนที่ยากจน
ความยากจนนี้บีบคั้นให้คนในหมู่บ้านมุ่งหน้าไปหาโอกาสใหม่ในสหรัฐอเมริกา
นางคาตารินา อลอนโซ พยายามกลั้นน้ำตาเพื่อเล่าว่า ก่อนลูกจะเดินทางไป ลูกบอกว่าถ้าโตขึ้นจะทำงานและหาเงินส่งกลับมาให้ที่บ้าน ลูกอยากจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้ เพื่อที่แม่จะได้เห็นรูปตนเองจากที่อยู่ห่างไกล
แต่สิ่งที่ประสบและปวดร้าวใจในวันนี้ก็คือลูกไม่กลับมาอีกแล้ว
สิ่งที่นางคาตารินาหวังไว้ตอนนี้มีเพียง 2 เรื่อง คือหนึ่ง จะได้รับร่างของลูกชายกลับมาทำพิธีฝังโดยเร็วที่สุด และสองคือ อยากให้สามีได้ลี้ภัยอยู่ในอเมริกาเพื่อหางานทำใช้หนี้และส่งเงินมาดูแลลูก
ขณะนี้ สถานกงสุลกัวเตมาลาในเมืองฟีนิกซ์ ของสหรัฐ แจ้งว่า นายออกุสติน โกเมซ พ่อของเด็ก ได้รับการปล่อยตัวตามใบอนุญาตเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งอนุญาตให้เขายังอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้ต่อในตอนนี้
สำหรับร่างของเด็กชาย คาดว่าจะส่งกลับบ้านได้ในช่วงเดือนมกราคม