ความหวังผู้ป่วยเบาหวาน ยูเอ็นเตรียมแก้ปัญหา “อินซูลิน” ราคาแพงเกินไป
ความหวังผู้ป่วยเบาหวาน – วันที่ 14 พ.ย. บีบีซี รายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ของสหประชาชาติ ประกาศแผนลดราคาของ อินซูลิน ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของมนุษย์ ที่มีราคาแพงเกินไป หลังจากราคาของอินซูลินในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจากขวดละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (30 บาท) จนถึงตอนนี้ราว 300 ดอลลาร์สหรัฐ (9,000 บาท) นับตั้งแต่มีการค้นพบอินซูลินเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2466
EPA
WHO ประกาศแผนริเริ่มดังกล่าวเป็นเวลา 2 ปี ในการประชุมที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันพุธ ต้องการให้บรรดาบริษัทยาผลิต อินซูลินรุ่นสามัญ (Generic version) ซึ่งมีความคล้ายกันทางเคมีของอินซูลินที่วางจำหน่ายอยู่ เป็นของบริษัทยา 3 เจ้า ผู้ผลิตและควบคุมตลาดของอินซูลินทั่วโลกในปัจจุบัน
เมื่ออินซูลินรุ่นสามัญผ่านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัย ตามมาตรฐาน WHO Prequalification Program (WHO PQ) แล้ว จะนำเข้าสู่ตลาดโลกในราคาถูกกว่า หวังให้ราคาของอินซูลินลดลง
อีเมอร์ คุก ผู้อำนวยการ WHO กล่าวว่า ความจริงง่ายๆ คือว่า ความชุกของเบาหวนกำลังเพิ่มขึ้น จำนวนอินซูลินที่มีอยู่เพื่อรักษาเบาหวานต่ำมาก ราคาก็สูงมาก เราจึงต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ข้อมูลของ WHO ระบุว่า ทั่วโลกราว 20 ล้านคน เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ 54 ล้านคน เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งฉีดอินซูลินในเคสรุนแรงเท่านั้น
GETTY IMAGES
สำหรับอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตตามปกติ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด เมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ทั่วร่างกาย และระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดจะลดลง
เบาหวานเป็นโรคจากระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ 1 ซึ่งพบได้น้อย โดยตับอ่อนผลิตอินซูลินเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ผู้ป่วยจึงต้องฉีดอินซูลินสังเคราะห์เป็นประจำไปตลอดชีวิต เพื่อช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
และชนิดที่ 2 ซึ่งพบได้ทั่วไป โดยร่างกายต่อร้านอินซูลินหรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ เนื่องจากการรับประทานไม่ดีต่อสุขภาพหรือออกกำลังกายไม่เพียงพอ วิธีรักษาคือรับประทาน เมตฟอร์มิน ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ตลอดจนออกกำลังกาย และรับประทานมีประโยชน์
หากผู้ป่วยเบาหวานมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเกิดความเสียหายต่อหัวใจ ดวงตา และไต และหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้หัวใจวาย เป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรือเสียชีวิต
