จีนออกโรงย้ำอีก หนุน “แคร์รี่ หล่ำ” กลบข่าวลือจ่อ “เปลี่ยน” ทีมบริหารแก้วิกฤตม็อบ

จีนออกโรงย้ำอีก – วันที่ 16 ธ.ค. สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ต้อนรับ นางแคร์รี่ หล่ำ หัวหน้าคณะบริหารเขตพิเศษฮ่องกง เยือนกรุงปักกิ่ง ด้วยคำยืนกรานว่าสนับสนุนรัฐบาลของนางหล่ำอย่างไม่ลังเล เพื่อรักษาความมั่งคั่งและเสถียรภาพในระยะยาว

สยบการคาดเดาของหลายฝ่ายว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน อาจใช้นโยบายใหม่จัดการกับวิกฤตฮ่องกง รวมถึงอาจเปลี่ยนทีมบริหารฮ่องกงเพื่อรับมือกับการประท้วงในฮ่องกงที่ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งปี

“ฮ่องกงยังไม่พ้นภาวะวิกฤต พร้อมแนะนำให้นางหล่ำและคณะรัฐบาลฮ่องกงทุ่มเทความพยายามเพื่อยุติความรุนแรง และยับยั้งการโกลาหลให้เป็นไปตามกฎหมายและกลับเข้าที่เข้าทาง” นายกฯ หลี่กล่าว ขณะที่นางหล่ำขอบคุณผู้นำจีนที่ห่วงใยฮ่องกง

This handout photograph taken and released by the Hong Kong Government on December 16, 2019 shows Chinese Premier Li Keqiang (R) meeting with Hong Kong Chief Executive Carrie Lam during her annual duty visit, in Hong Kong Hall at the Great Hall of the People in Beijing. (AFP)

การพบปะระหว่างนายกฯ หลี่และนางหล่ำ เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลฮ่องกงหวนจัดการชุมนุมที่ห้างสรรพสินค้าอีกครั้งเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. ขณะประชาชนหลั่งไหลออกมาจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและวันปีใหม่ ก่อนเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ซึ่งยิงแก๊สน้ำตาใส่ฝูงชน พร้อมทั้งเปิดฉากตะลุมบอนจับกุมผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรงไปลงบันทึกดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ

โดยเฉพาะที่ห้างสรรพสินค้านิวทาวน์พลาซ่า ย่านซาถิ่น มีกลุ่มผู้ประท้วงยืนปิดกั้นทางเข้าและทางเดินภายในอาคาร ตำรวจจึงยิงแก๊สน้ำตา 1 กระบอกเพื่อสลายการผู้ชุมนุมและบุกเข้าสู่ข้างใน ส่วนด้านนอกมีผู้ประท้วงสวมหน้ากากอีกกลุ่มก่อเหตุทุบทำลายกระจกโชว์หน้าร้านค้าจนเสียหายเป็นบริเวณกว้าง จากนั้นปะทะกับประชาชนซึ่งพยายามยับยั้งผู้ประท้วงที่พ่นสีเขียนกำแพงห้างสรรพสินค้า

Police deploy pepper spray during a protest at the New Town Plaza shopping mall in Shatin in Hong Kong on December 15, 2019. (AFP)

Hong Kong has been upended by six months of massive pro-democracy protests that have seen violent clashes between police and hardcore demonstrators, as well as regular transport disruption. (AFP)