บอริส จอห์นสัน คัมแบ็ก! ยิ้มแย้มหวนบ้านเลขที่ 10 ลุยสู้วิกฤตโควิด-ลุ้นคลายล็อกดาวน์
บอริส จอห์นสัน คัมแบ็ก! – วันที่ 27 เม.ย. เอเอฟพี และ เดลีเมล์ รายงานข่าวน่ายินดี เมื่อ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ผู้นำอังกฤษ วัย 55 ปี ปรากฏตัวกลับมาทำงานที่ทำเนียบ บ้านหมายเลข 10 บนถนนดาวนิง ในกรุงลอนดอน อีกครั้ง
หลังเข้าแผนกไอซียูที่โรงพยาบาลเซนต์โธมัสเพื่อรักษาโรคโควิด-19 จนหายตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. โดยนายจอห์นสันมีสีหน้าสดใสและยิ้มแย้มทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อนเดินเข้าสู่ทำเนียบนายกฯ
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสมรณะในสหราชอาณาจักรมีทีท่าดีขึ้น หลังผู้ป่วยใหม่รายวันลดลงมาที่ 4,463 คน รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 154,037 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตใหม่รายวันลดต่ำสุดในรอบ 20 วันอยู่ที่ 413 คน และยอดผู้เสียชีวิตรวมมีอย่างน้อย 20,795 คน
รายงานระบุว่าเมื่อเวลาราว 18.30 น. ของวันที่ 26 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น นายจอห์นสันนั่งรถตู้มายังประตูหลังทำเนียบโดยไม่มีพิธีหรือแถวเจ้าหน้าที่รอต้อนรับ จากนั้นช่วงเช้าวันจันทร์จะร่วมประชุมหารือแก้ปัญหาโควิด-19
นายโดมินิก ราอับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ซึ่งรักษาการแทนนายจอห์นสันในช่วงพักฟื้น ให้สัมภาษณ์ว่าการกลับมาของนายจอห์นสันจะเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐบาลกลับมาทำงานอย่างฮึกเหิม เช่นเดียวกับเป็นแรงกระตุ้นให้ประเทศเดินหน้าผ่านวิกฤตในช่วงนี้ พร้อมย้ำว่านายกฯ จอห์นสันมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่จะกลับมาทำงาน
นักวิจารณ์และสื่อท้องถิ่นหลายแห่งตำหนิรัฐบาลในช่วงที่นายจอห์นสันพักฟื้นว่าทำงานแบบไม่มีหางเสือและไร้ซึ่งทิศทาง จนเป็นเหตุให้สถานการณ์โควิด-19 ไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร ซึ่งนายกฯ จอห์นสันต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์และการเว้นระยะห่างทางสัมคมอย่างเข้มงวดในวันที่ 7 พ.ค.นี้หรือไม่
หลังเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. และขยายเวลาเพิ่มในระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนบางส่วน รวมถึงเจ้าของธุรกิจ และพรรคฝ่ายค้าน
เนื่องจากไม่รัฐบาลไม่มีมาตรการที่แน่ชัด หนำซ้ำยังขยายเวลาออกไปเรื่อยๆ ซึ่งนายราอับกล่าวก่อนหน้านี้ว่าอาจต้องล็อกดาวน์ต่ออีกระยะหนึ่งและการล็อกดาวน์จะกลายเป็นความปกติใหม่ในสังคมของสหราชอาณาจักร เพื่อเร่งยับยั้งการกระจายของไวรัสร้าย
นายจอห์นสันแถลงหลังการประชุมว่า “ประเทศของเริ่มปลุกปล้ำทุ่มโควิด-19 ลงกับพื้บแล้ว เรากำลังพลิกสถานการณ์” นายกฯ อังกฤษกล่าว และว่ายังไม่ถึงปลายทาง การเว้นระยะห่างทางสังคมยังต้องมีต่อไป ไม่เช่นนั้นจะมีการสูญเสียครั้งใหญ่เกิดขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: