หมีจอมหนี แหกคอกล้อมไฟฟ้า ลอยนวลอีกรอบ อิตาลีหาวุ่น
หมีจอมหนี – ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เจ้าหน้าที่อิตาลีต้องเหนื่อยหนักกันอีกครั้ง เมื่อหมีสีน้ำตาล ที่มีชื่อเล่นว่า “ปาปิญอง” และมีฉายาว่า หมีจอมหนี โชว์ความสามารถพิเศษ แหกคอกที่ล้อมด้วยไฟฟ้าในอิตาลีอีกครั้งและหายไปอย่างลอยนวล
หมีตัวนี้มีชื่อรหัสว่า “เอ็ม49” อายุ 4 ปี หนีออกจากคอกเลี้ยงในจังหวัดเทรนโต ทางตอนเหนือของอิตาลี เมื่อช่วงเช้ามืดวันจันทร์ที่ 27 ก.ค.
ครั้งก่อนที่ปาปิญองหายไป ก็ต้องตามหากันวุ่น
โฆษกรัฐบาลท้องถิ่นยืนยันว่าหมีตัวแสบฉายา “ปาปิญอง” หนีออกจากคอกขังไปได้หลายครั้ง สมกับฉายา ที่แปลว่า “ผีเสื้อ” ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งได้มาจากตัวละครชื่อ “อ็องรี ชาร์ริเยร์” ซึ่งมีรอยสักรูปผีเสื้อและแหกคุกไปได้ 8 ครั้ง จากนวนิยายอิงอัตชีวประวัติที่เขียนโดยนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส
อิตาลีอนุรักษ์หมีสีน้ำตาลตั้งแต่ปี 2,542 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไลฟ์ เออร์ซุส ซึ่งอนุรักษ์สัตว์ต่างๆ ในเทือกเขาแอลป์ ก่อตั้งโดยสถาบันสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งชาติ โดยนำหมี 100 ตัวมาอยู่ในจังหวัดเทรนโต เพราะเกรงว่าหมีจะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย แต่พวกมันกลับไม่กลัวมนุษย์และออกล่าปศุสัตว์ เช่น ลา แพะและวัวเป็นอาหาร
ปาปิญองทำร้ายวัว ระหว่างหลบหนีครั้งก่อน
ปาปิญองก่อวีรกรรมแหกคอกออกไปหลายครั้งอย่างโชกโชน ครั้งแรก ถูกตามจับกลับมาได้เมื่อวันที่ 28 เม.ย. แต่หนีไปอีกครั้งหลังจากจับได้เพียง 2 ชั่วโมงจากคอกที่มีรั้วกั้น
ทุกครั้งที่ถูกจับตัวได้ ก็จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น ก็หายตัวไปอีกจากอาณาเขตหมี 9,000 ตารางเมตรซึ่งปาปิญองอยู่ร่วมกับหมีเพศเมียอีกตัวหนึ่ง
คราวนี้ คาดว่าหมีตัวแสบคงหนีออกไปประมาณตีสองตีสาม เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ก.ค. จากนั้น นายเมาริซิโอ ฟูกัตติ ผู้ว่าการจังหวัดเทรนโต แจ้งข่าวในระหว่างการประชุมสภาว่าหมีหายไปอีกแล้ว
คอกกั้นขนาดนี้ก็เอาไม่อยู่
โฆษกรัฐบาลท้องถิ่นกล่าวว่าหมีจอมพลังแหกคอกออกไป ทั้งที่มีรั้วกั้นแข็งแรงและบางส่วนปล่อยกระแสไฟฟ้า 6,000 โวลต์ หมีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ย่อมดุและมีสัญชาติญาณรุนแรงมากเกินกว่าที่จะกลับเข้าป่า
เดือนที่แล้ว กลุ่มสิทธิสัตว์อิตาลีเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ยกเลิกการลงโทษกำจัดหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ทำร้ายพ่อและลูกชายระหว่างเดินเขา
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน–อัลโตอาดีเจ ทางตอนเหนือของอิตาลี พบว่ามีหมีทำร้ายคนเพิ่มขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสืบหาสัตว์ที่ก่อเหตุโจมดีด้วยการจัดเก็บข้อมูลดีเอ็นเอจากมูล ขนและน้ำลาย พร้อมทั้งใช้ภาพถ่ายจากกล้องดักถ่ายสัตว์มาจับคู่ดีเอ็นเอกับสัตว์ที่ทำร้ายคน
//////////