หนุ่มถูกชน นอนโคม่ายาว 11 เดือน ติดโควิดแล้วถึงสองครั้ง แต่ไม่รู้เรื่องโรคระบาด
โจเซฟ ฟลาวิล วัย 19 ปี ถูกรถชนในขณะที่เดินอยู่ใกล้กับบ้านของเขาในทุตเบอรีรัฐสแตฟฟอร์ดเชียร์ สามสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่นั้นมาเขาอยู่ในระยะโคม่านานกว่า 11 เดือน เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อเขาตื่นขึ้นมาและอยู่ระหว่างการฟื้นตัวเขาก็ตอบสนองได้เพียงการกระพริบตาและยิ้มให้กับคนที่เข้ามาเยี่ยมเยียนเขาเท่านั้น
ในตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุ เขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเลสเตอร์เจเนอรัล ซึ่งเขาใช้เวลาหกเดือนในอาการโคม่าที่นี่ ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปยังศูนย์ฟื้นฟูระบบประสาทแอดเดอเลย์กรีน ในสโตก-ออน-เทรนต์เมื่อสี่เดือนก่อน ซึ่งระหว่างนั้นเขาได้ติดโควิดสองครั้ง ครั้งแรกขณะที่เขายังอยู่ในอาการโคม่าและอีกครั้งหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา แต่ทั้งสองครั้งเขาก็ได้รับการรักษาจนหายดี
หลังจากที่เขาลืมตาก็มีพัฒนาที่ดีขึ้น และในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเริ่มขยับแขนขาได้ เมื่อเขาได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนั้น และเขาเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ด้วยการกระพริบตาและยิ้ม ป้าของเขากล่าวว่า “ในตอนที่เขายังหลับอยู่ เขาไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดเลย แต่ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้ทำตามขั้นตอนที่น่าทึ่ง”
เนื่องด้วยข้อจำกัดของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทำให้ครอบครัวของโจเซฟไม่สามารถเข้าเยี่ยมเขาได้ ทำได้เพียงสื่อสารกันผ่านเฟซไทม์ ซึ่งป้าของเขาบอกว่าสีหน้าของเขาดูสดใสขึ้นเมื่อได้เห็นหน้าของเพื่อน ๆ และครอบครัวของเขาบนหน้าจอ ทั้งนี้มีเพียงแม่ของเขาเท่านั้นที่สามารถไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลได้ ในวันเกิดปีที่ 19 ของเขา แต่ก็ต้องเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่ดี
และป้าของเขายังบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่เราไม่สามารถไปเจอเขาได้ “เรายังไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจมากแค่ไหนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะเขาหลับไปก่อนที่จะเกิดการระบาดครั้งใหญ่ทั้งหมด” ป้าของเขากล่าวว่ามันยากที่จะอธิบายถึงการระบาดของโรคที่เกิดกับคนที่อยู่ในอาการโคม่าให้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ทั้งนี้ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นโจเซฟเป็นคนที่มีสุขภาพดี และมีร่างกายที่แข็งแรงมาตลอด เขาชอบที่จะเล่นกีฬาทุกประเภทโดยเฉพาะฮอกกี้ ซึ่งในตอนนี้ครอบครัวของเขาต้องการให้เขาเริ่มทำกายภาพบำบัดอีกครั้ง ซึ่งจากที่ผ่านเขาทำได้ดีมาตลอด แต่การกายภาพบำบัดก็ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในระลอกที่สอง
ที่มา : dailymail
