คดีอุ้มฆ่าเจ้าสาว – เมื่อ 9 เม.ย. บีบีซี รายงานคดีอาชญากรรม “ลักพาตัวเจ้าสาว” สะเทือนขวัญในประเทศคีร์กิซสถาน อดีตอาณานิยมของสหภาพโซเวียต เพราะเจ้าสาวถูกฉุดคร่าและถูกสังหารอย่างน่าสลดใจ ทำให้ชาวคีร์กีซพากันโกรธแค้น และเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบที่ป้องกันและปราบปรามเหตุร้ายนี้ไม่ได้
น.ส.ไอซาดา คานาเบโควา วัย 27 ปี ถูกชายฉกรรจ์ 3 คน ลักพาตัวไปและบังคับให้ขึ้นรถซึ่งเชื่อว่า 1 ใน 3 คนนี้ต้องการใช้กำลังบังคับให้เธอแต่งงานด้วย
แม้ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดจับนาทีคนร้ายก่อเหตุเมื่อวันที่ 5 เม.ย. เอาไว้ได้และเผยแพร่ภาพทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง แต่ตำรวจกลับตามจับรถต้องสงสัยไม่ได้ทันที กว่าจะพบเจ้าสาว ก็กลายเป็นศพไปแล้ว
ต่อมา เมื่อวันพุธที่ 7 เม.ย. คนเลี้ยงแกะเดินข้ามทุ่งมาดูรถที่จอดทิ้งไว้นอกกรุงบิชเคก เมืองหลวง และพบศพหญิงสาวในรถ จึงแจ้งตำรวจ
ด้านตำรวจเผยว่า หญิงสาวเสียชีวิตในสภาพถูกรัดคอ ส่วนผู้ต้องสงสัยลักพาตัวและเป็นฆาตกร ถูกพบเป็นศพในเวลาต่อมา ลักษณะคล้ายแทงตัวเอง อาจทำเพื่อฆ่าตัวตายตามเจ้าสาวไป
เว็บไซต์ข่าว akipress.com รายงานว่า ผู้ต้องสงสัยชื่อ นายซามิร์เบ็ก เตนิซบาเอฟ เคยต้องโทษจำคุกในรัสเซียมาแล้วถึง 3 ครั้ง ครอบครัวของน.ส.ไอซาดากล่าวว่าบุตรสาวรู้จักกับฝ่ายชายเพราะเคยพูดคุยผู้ชายคนนี้ก่อนที่ชายหนุ่มมีปากเสียงกับหญิงสาว
ล่าสุดวันที่ 9 เม.ย. ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยร่วมแก๊งอีก 2 ราย รวมกับอีก 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยแล้ว 5 ราย
การลักพาตัวผู้หญิงไปแต่งงานเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่กลับพบกรณีแบบนี้ทั่วประเทศ บางคนเชื่อว่าการลักพาตัวเจ้าสาวเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของชาวคีร์กีซ แต่นักวิจัยบางคนโต้แย้งว่าธรรมเนียมนี้กลายมาเป็นที่นิยมในเอเชียกลางเมื่อไม่ 20-30 ปีมานี้เอง
การลักพาตัวถูกบัญญัติให้ผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2556 แต่ผู้ต้องสงสัยน้อยคนนักที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด ส่วนผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อไม่ค่อยกล้าแจ้งความเพราะเกรงว่าจะถูกตามล้างแค้น
ด้านสหประชาชาติระบุว่าการแต่งงาน 1 ใน 5 ครั้งเกิดขึ้น หลังจากผู้หญิงถูกลักพาตัว
พ่อแม่และญาติๆ มักจะกดดันให้หนุ่มๆ ในคีร์กีซสถานแต่งงานเมื่อถึงอายุที่เหมาะสม โดยเฉพาะครอบครัวยากจน ทำให้การลักพาตัวเจ้าสาวเป็นทางออกที่เร็วที่สุดและค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
คดีอุ้มฆ่าเจ้าสาว ครั้งล่าสุดนี้ ทำให้ผู้ประท้วงประมาณ 500 คน มาชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงกิจการภายในที่กำกับหน่วยงานตำรวจ เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ต่างถือป้ายร้องตะโกนว่า “น่าอาย” พร้อมเรียกร้องให้รัฐมนตรีลาออก
ผู้ประท้วงบางคนชูป้ายมีข้อความว่า “ใครจะออกมาตอบคำถามคดีฆาตกรรมไอซาดา” และ “ใครคิดว่าการฆาตกรรมเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ”
ด้านมาฮินูร์ นิยาโซวา นักข่าวท้องถิ่นกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่าชาวคีร์กีซปิดปากเงียบและดูความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอีกต่อไปไม่ได้แล้วเพราะผู้หญิงไม่มีสิทธิอะไรเลย ทำได้แค่เพียงอดทนอดกลั้น
ส่วน นายอูลุกเบก ชาริพอฟ นายกรัฐมนตรีคีร์กีซสถานขอให้ผู้ประท้วงอดทน ระหว่างที่ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวน ขณะที่ผู้ประท้วงบางส่วนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเช่นกัน
ขณะที่ซาดีร์ จาพารอฟ ประธานาธิบดีคีร์กีซสถาน โพสต์ในเฟซบุ๊กถึงกรณีการเสียชีวิตของไอซาดาว่า “เป็นโศกนาฏกรรมและความเจ็บปวดไม่ได้เกิดขึ้นในครอบครัวของเธอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนทั้งประเทศและเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นการลักพาตัวเจ้าสาวครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์
ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2561 บูรูไล ทูร์ดาลี คีซี นักศึกษาแพทย์อายุ 20 ปี ถูกแทงจนถึงแก่ความตายบนสถานีตำรวจเพราะพยายามแจ้งความเอาผิดผู้ลักพาตัว ส่วนผู้สังหารถูกตัดสินจำคุก 20 ปีและตำรวจกว่า 20 นายถูกลงโทษ
////////////
อ่านข่าว :
ฉุดอุ้มสาวไปแต่งงาน ประเพณีช็อกทำลายชีวิตผู้หญิง บนเกาะซุมบา