คดีสุดสะเทือนใจฮ่องกง เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ รายงานการตัดสินคดีทำร้ายเด็กที่สะเทือนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮ่องกงในสัปดาห์นี้

ศาลสูงฮ่องกงอ่านคำพิพากษา เมื่อ 13 เม.ย. ตัดสินให้พ่อและแม่เลี้ยงของเด็กหญิงอายุ 5 ขวบ มีความผิดฐานฆาตกรรมเด็ก เมื่อเดือนมกราคม 2561 ส่วนยายบุญธรรมของเด็ก อายุ 56 ปี มีความผิดเช่นกัน ฐานทารุณกรรม เพราะเพิกเฉย ไม่เข้าขัดขวางการทำร้ายเด็ก ทั้งกับเด็กหญิง และพี่ชายของเด็ก อายุ 11 ปี ทั้งที่เห็นกับตา

ศาลอาญาฮ่องกง / Photo: Warton Li

คดีสุดสะเทือนใจฮ่องกง เริ่มต้นเมื่อปี 2558 ด้วยแนวรักโรแมนติก ระหว่างชายหนุ่ม (ปัจจุบันอายุ 29 ปี) ผ่านการหย่าร้าง มีลูกติดชายและหญิงรวม 2 คน กับหญิงสาวที่หย่าร้างมาแล้วเช่นกัน (ปัจจุบันอายุ 30 ปี) และมีลูกสาวติดมา 1 คน

ฝ่ายหญิงเริ่มสนใจฝ่ายชายก่อน เมื่อสะดุดตารูปถ่ายของชายหนุ่มกับลูกสาว ทางสื่อโซเชียล วีแช็ต จึงเริ่มสนทนาด้วย จากนั้นความเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงปี ก็แต่งงานกัน

แต่รักโรแมนติกผันเป็นฝันร้ายอย่างน่าสลดในสองปีจากนั้น ด้วยบทลงเอยที่ลูกสาวอายุ 5 ขวบของฝ่ายชายเสียชีวิต วันที่ 6 ม.ค. 2561 ผลชันสูตรชี้ว่า เด็กหญิงตายด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และโลหิตเป็นพิษ ส่วนร่างกายมีแผลเต็มตัวไปหมด รวม 133 จุด รวมถึงแผลที่เป็นหนอง ส่วนเด็กชายมีแผลตามตัว 128 จุด

คดีสุดสะเทือนใจฮ่องกง

ภาพวาดอีกรูปของเหยื่อน้อย / Photo: Handout

รายละเอียดการไต่สวนพ่อและแม่เลี้ยงของหนูน้อย 5 ขวบ ทำให้คดีนี้เป็นคดีสุดสะเทือนขวัญมากที่สุดคดีหนึ่งของฮ่องกง

ผู้พิพากษา อัลเบิร์ต หว่อง สั่งให้ปิดชื่อ พ่อแม่ และญาติที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมด เพื่อปกป้องเด็กชาย อายุ 11 ปีที่ยังรอดชีวิต และอยู่ในการดูแลของหน่วยงานอุปถัมภ์ รวมถึงเด็กหญิงอีกคนที่เป็นลูกจำเลยฝ่ายหญิง

อัยการกล่าวว่า ความตายของเด็กหญิงวัย 5 ขวบ เป็นผลมาจากการตกอยู่ในสภาพเหมือนนรกมา 150 วัน เด็กถูกตีครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกทารุณ และไม่ได้รับการรักษา จนแผลเป็นหนอง และพุพองจนเป็นฝีในร่างกาย ส่วนเด็กชายถูกทำร้ายหนักเช่นกัน

ดร. กวาน ยัตหวา ผู้เชี่ยวชาญการรักษาเด็ก กล่าวว่า เหยื่อน้อยติดเชื้อแซลโมเนลล่า หรือ แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหาร อย่างร้ายแรง เพราะระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจากความเครียด ที่ถูกทำร้ายต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน

“ผมหวังว่าคดีนี้จะส่งสารไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองได้ว่า พวกเขาต้องดูแลเด็กๆ ลูกๆ กันอย่างไร” ดร.กวาน กล่าว และว่าตั้งแต่ทำงานนี้มา 30 ปีไม่เคยเจอเคสได้ที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อน

คดีสุดสะเทือนใจฮ่องกง

รูปวาดของเด็กน้อยที่แสดงในศาล / Photo: Handout

นายอเล็กซ์ อู๋ ทนายจำเลย พยายามต่อสู้คดีให้ลูกความฝ่ายชาย ว่าไม่ได้เป็นปิศาจร้าย จริงๆ แล้วมีช่วงเวลาที่ดีๆ และมีความสุขในครอบครัว แต่โศกนาฏกรรมนี้เป็นผลมาจากความขัดแย้งทางนิสัยใจคอ ระหว่างฝ่ายหญิงกับลูกเลี้ยง ยิ่งเมื่อสามีภรรยาต่างมีปัญหาการเงินหนักมาก และมีทัศนคติการเลี้ยงลูกที่ผิด จึงทำให้เกิดเรื่องเศร้าขึ้น

เนื้อหาการไต่สวนจำเลยฝ่ายหญิง เผยถึงการไม่ลงรอยของฝ่ายหญิงกับแม่สามีของตนเอง อีกทั้งยังทะเลาะกับพี่ชายสองคนของสามีที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันอยู่เสมอ จนคู่รักคู่นี้ย้ายไปอยู่กับแม่ของฝ่ายหญิงในเดือนสิงหาคม 2560 จากนั้นฝ่ายชายก็แทบไม่ได้ติดต่อกับบ้านของตนเองอีก

พ่อก็ตี แม่ก็ฟาด

หลังจากครอบครัวนี้ย้ายมาอยู่ที่บ้านแม่ฝ่ายหญิงแล้ว สถานการณ์ที่เด็กหญิงและพี่ชายเริ่มถูกทำร้ายก็ปรากฏต่อเนื่องนาน 5 เดือน ทั้งพ่อเด็กและแม่เลี้ยงล้วนลงไม้ลงมือกับเด็กๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งแบบข่มขู่บังคับ จนมาถึงตบตี และใช้ไม้ หรือรองเท้าพลาสติกฟาด

ระหว่างนี้ครูที่โรงเรียนของเด็กชายเห็นแผลฟกช้ำตามตัว จึงสอบถาม เด็กชายตอบว่าถูกพ่อตี ครูจึงตักเตือนผู้ปกครอง แต่กลับทำให้พ่อเด็กและแม่เลี้ยงโกรธเกรี้ยว และทำร้ายเด็กซ้ำด้วยความไม่พอใจที่ไปบอกครู มีครั้งหนึ่งที่พ่อเด็กใช้กรรไกรทำร้ายเด็กที่หน้าอก

อัยการระบุว่า มีกรณีที่เด็กทั้งสองถูกบังคับให้ไปนอนในกระเป๋า ถูกลงโทษไม่ให้กินข้าวนานถึง 4 วัน และให้กินแบบขอทาน ส่วนลูกสาวแท้ๆ ไม่เคยถูกลงโทษ ยกเว้นถูกตีมือไปครั้งเดียว แต่เด็กหญิงคนนี้เห็นภาพการลงโทษเด็กอีกสองคนอยู่ตลอด

เด็กให้ปากคำกับตำรวจในสิ่งที่เห็นลูกๆ ของพ่อเลี้ยงว่า “พวกเขาถูกพ่อตี แล้วแม่ก็ฟาด”

ฉันเใกล้จะฆ่ายัยนี่แล้วนะ

จำเลยฝ่ายหญิงให้การในศาลว่า ตนเองมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของเด็กหญิงมากที่สุด และอ้างว่า ตอนที่ตีเด็ก เพียงเพราะต้องการอบรมสั่งสอน

ซีซาร์ โล ทนายความของจำเลยหญิง กล่าวว่า การที่ฝ่ายหญิงที่ลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มเวลาเมื่อปี 2560 นั้นเป็นการตัดสินใจที่พลาด เพราะยิ่งทำให้ตนเองอยู่ในสภาพเครียดจัด หาทางออกไม่ได้ และอึดอัดกับการดูแลลูกเลี้ยง และไม่รู้ว่าจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีได้อย่างไร

ส่วนจำเลยชายกล่าวว่า พยายามจะคลายความเครียดให้ภรรยา และอดกลั้นทุกครั้งที่เห็นว่า ภรรยาทำเกินไปกับเด็ก ส่วนตนเองก็เคยขาดสติทำร้ายเด็กเหมือนกัน ราวช่วงเดือนพฤศจิกายน

สำหรับกรณีที่ไม่พาเด็กไปหาหมอ ฝ่ายชายอ้างว่า คิดว่าภรรยาจะทำแผลให้เองได้ เนื่องจากเคยเข้าเรียนหลักสูตรพยาบาลมาก่อน และเคยดูแลผู้สูงอายุมาก่อน

การสอบสวนยังพบข้อความที่ฝ่ายหญิงบ่นถึงลูกเลี้ยง ว่าดื้อ มีครั้งหนึ่งส่งข้อความไปฟ้องสามีว่า เด็กหญิงบิดผ้าให้แห้งไม่เป็น พร้อมระบุว่า “ฉันใกล้จะฆ่ายัยนี่แล้วนะ” ส่วนฝ่ายชายกลับตอบข้อความที่น่าขนลุกว่า “ก็เอาสิ” “เด็กกำลังทดสอบขีดจำกัดเธออยู่น่ะ”

นอกจากนี้ จำเลยหญิงยังส่งข้อความไปหาเพื่อนคนหนึ่งว่า จะประสาทเสียตายถ้าอยู่กับลูกเลี้ยงหญิงสองคน และจะดีกว่ามาก ถ้าลูกเลี้ยงชายและลูกแท้ๆ ของตัวเองกลับมาจากโรงเรียน

“มีครั้งหนึ่ง ฉันอยู่กับยัยนี่สองคน ฉันอยากจะตายเลยล่ะ บางทีที่ฉันเห็นแผล ฉันอดสงสารไม่ได้แต่พออีเด็กนี่พูดส่งเสียงอีกนะ ฉันลืมไปเลย รู้สึกเกลียดเอามากๆ” จำเลยหญิงส่งข้อความนี้ถึงเพื่อน

ฝันร้ายช่วงท้ายของชีวิตเด็ก

โล ทนายของจำเลยหญิง กล่าวว่า เด็กน่าจะติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. 2561 เพราะลำไส้ทำงานไม่ปกติ เด็กเหนื่อยและเดินไม่ตรง จนแม่เลี้ยงสังเกตได้

แต่การที่เด็กไม่ได้ไปหาหมอ เท่ากับขีดชะตาชีวิตให้ไม่รอด ดร.โฮ พักเหลียง กล่าวว่า เด็กติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella enteritidis, ผ่านอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน และเชื้อ Staphylococcus aureus จากบาดแผล จนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จากเดิมที่ย่ำแย่อยู่แล้ว จากการถูกทำร้ายเรื้อรัง

หมอโฮ กล่าวด้วยว่า เด็กอยู่ในสภาพแย่มากช่วง 5 วันก่อนเสียชีวิต เพราะแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบร่างกายอักเสบหนัก

พี่ชายเด็ก และเด็กหญิงลูกของแม่เลี้ยง ต่างให้ปากคำว่า คืนก่อนที่หนูน้อยคนนี้จะสิ้นใจ ถูกพ่อแม่บังคับให้เดิน จนล้มไปกับพื้น เด็กทั้งสองยังเห็นพ่อโยนเด็กหญิงขึ้นไปบนอากาศซ้ำๆ จนศีรษะกระแทกเพดาน แล้วก็ยังอุ้มแนวนอนหมุนไปรอบๆ

เด็กๆ บอกว่า นึกว่าวิธีนี้คือการทำให้เด็กหญิงเชื่อฟัง แต่ทั้งลูกของจำเลยหญิง และจำเลยหญิงเองต่างพูดตรงกันว่า คำพูดสุดท้ายของหนูน้อย 5 ขวบก็คือ “หนูกลัวมาก”

ด้านจำเลยหญิงและจำเลยชายให้การในศาลว่า เหตุการณ์ดังกล่าวพวกตนเพียงเล่นเกม ส่วนฝ่ายชายกล่าวเสริมว่า ที่ให้เด็กเดินในคืนนั้น เพราะต้องการฝึกไม่ให้เดินขาโก่ง

ขณะที่อัยการยืนยันว่า คำให้การนี้ฟังไม่ขึ้น รวมถึงข้ออ้างว่า รักและดูแลเด็กด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือสองคนนี้ได้แต่สร้างความเจ็บปวด เป็นความเจ็บปวดที่มากมาย และถ้ารักหรือดูแลเด็กจริงก็คงไม่มานั่งอยู่ในศาลแห่งนี้

คดีดังกล่าวนี้ยังทำให้เกิดข้อถกเถียงทางสังคมด้วยว่า โรงเรียนอนุบาลและระบบสังคมสงเคราะห์ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ หรือปรับปรุงแก้ไขด้วยหรือไม่

/////

อ่านข่าว :

หนูน้อยต้องไม่ตายเปล่า เกาหลีใต้จี้ยกเครื่องเพิ่มโทษคนทารุณเด็ก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน