เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ชาวซิมบับเวจำนวนมากออกมาชุมนุมขับไล่นายโรเบิร์ต มูกาเบ ประธานาธิบดีวัย 93 ปีที่ปกครองประเทศมานาน 37 ปีให้ลาออกจากตำแหน่ง ที่กรุงฮาราเร บรรยากาศคล้ายการเฉลิมฉลอง หลังจากกองทัพเข้ายึดอำนาจและยังคงจับผู้คนใกล้ชิด กักบริเวณไว้ รวมถึงนางเกรซ ภริยาผู้นำที่เปิดศึกชิงความเป็นใหญ่กับรองประธานาธิบดี จนเป็นเงื่อนไขให้กองทัพเข้าแทรกแซง
ความเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มนี้สอดคล้องกับท่าทีของสมาชิกซานู- พีเอฟ พรรครัฐบาลที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เรียกร้องให้นายมูกาเบลาออกไป
ด้านซีเอ็นเอ็นรายงานตั้งข้อสังเกตว่าช่วงก่อนทหารยึดอำนาจวันที่ 15 พ.ย. พล.อ.คอนสแตนติโน ชิเวนกา ผู้บัญชาการกองทัพซิมบับเวเดินทางเยือนจีนอย่างผิดปกติวิสัย พร้อมเข้าพบเจ้าหน้าที่อาวุโสของกองทัพจีนหลายคน จากนั้นเมื่อกลับถึงประเทศก็ก่อการยึดอำนาจ
การเยือนจีนของผู้นำกองทัพดังกล่าวแม้ว่านายเกิง ส่วง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า เป็นการพบปะแลกเปลี่ยนทางทหารกันปกติ แต่กลับถูกมองว่าเพื่อขอ ไฟเขียวจากรัฐบาลจีนที่จะโค่นอำนาจนาย มูกาเบ
เพราะจีนทรงอิทธิพลในฐานะผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดและเป็นประเทศพันธมิตรอย่างยาวนาน ในยุคทศวรรษ 70 จีนเคยส่งยุทโธปกรณ์และเงินช่วยเหลือมูกาเบทำศึกเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษมาแล้ว และจากนั้นก็สนับสนุนรัฐบาลซิมบับเวมาโดยตลอด
นายหวัง หงอี้ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันตกและแอฟริกาศึกษา กล่าวว่าการลงทุนของจีนในซิมบับเวได้รับผลกระทบจากนโยบายของมูกาเบและมีหลายโครงการถูกบังคับให้ปิดตัวหรือต้องย้ายไปยังประเทศอื่น หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลอาจจะส่งผลในด้านบวกกับสองประเทศ