อังกฤษเปิดตัว – นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เปิดตัวแผนงานโครงการ ‘Global Pandemic Radar’ เพื่อค้นหาเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เกิดใหม่ และติดตามการเกิดโรคใหม่ ๆ ทั่วโลก ก่อนจะถึงการประชุมสุดยอดว่าด้วยสุขอนามัยระดับนานาชาติซึ่งอิตาลีและสหภาพยุโรปจะเป็นเจ้าภาพ
การจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังเชื้อโรคจะช่วยชีวิตคนได้จำนวนมากและปกป้องระบบสุขภาพผ่านการตรวจจับโรคอุบัติใหม่ให้พบก่อนทวีความรุนแรงขึ้นเป็นโรคระบาดในอนาคต รวมถึงการพัฒนาวัคซีน การรักษา และการตรวจหาเชื้อให้ได้อย่างรวดเร็ว
นายบอริสได้พูดคุยกับผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ดร. เทดรอส เกเบรเยซุส และผู้อำนวยการมูลนิธิ Wellcome Trust นายเจเรมี ฟาร์ราร์ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปของโครงการก่อนจะถึงการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศหรือ G7 ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกจะเป็นผู้นำคณะปฏิบัติงานในการเปิดตัวความร่วมมือระดับนานาชาติในการระบุหาและแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และตรวจติดตามพฤติกรรมต่อต้านวัคซีนในกลุ่มประชากร โดยมีมูลนิธิ Wellcome Trust ให้การสนับสนุน
ทั้งนี้นายจอห์นสันยังได้รับฟังข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว ซึ่งรวมไปถึงศูนย์ข้อมูลโรคระบาดขององค์การอนามัยโลก (WHO Hub for Pandemic and Epidemic Intelligence) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี นอกจากนี้เครือข่ายเฝ้าระวังขององค์การอนามัยโลกยังตรวจพบว่าปัจจุบันเชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.617 ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดีย ได้กระจายไปกว่า 50 ประเทศแล้ว
โครงการ Global Pandemic Radar คาดว่าจะดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบโดยมีเครือข่ายศูนย์เฝ้าระวังในพื้นที่ต่าง ๆ ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพในระดับโลกได้ก่อนเข้าสู่ปีหน้า
นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน กล่าวว่า :
“การต่อสู้กับโรคโควิด-19 และสร้างความมั่นใจว่าเราเตรียมการเป็นอย่างดีเพื่อรับมือโรคอื่น ๆ ในอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ ในโอกาสที่เราเป็นประธานการประชุม G7 ในครั้งนี้
“โลกของเราจะต้องไม่ตกอยู่ในสภาวะที่มีไวรัสแพร่ระบาดโดยเราไม่รู้ตัวเช่นนี้อีก เราจำเป็นต้องสร้างระบบเฝ้าระวังโรคซึ่งสอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 โดยมีการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการหาลำดับสารพันธุกรรม และการตอบสนองต่อปัญหาที่รวดเร็ว
“โครงการ Global Pandemic Radar จะทำให้เรามั่นใจว่ามีความตื่นตัวต่อโรคสายพันธุ์ใหม่และเชื้อชนิดใหม่ และสามารถพัฒนายารักษาและวัคซีนมาตอบสนองได้อย่างว่องไวเพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค”
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว นายบอริสได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งเครือข่ายระดับโลกของศูนย์เฝ้าระวังโรคนี้ในฐานะส่วนหนึ่งในแผนการห้าข้อของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จากนั้นสหราชอาณาจักรได้สั่งการให้ Wellcome Trust จัดทำรายงานนำเสนอ และได้ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก หน่วยงานควบคุมโรคของรัฐบาลต่าง ๆ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและหน่วยงานวิจัยอื่น ๆ เพื่อผลักดันโครงการนี้ โดยถือเป็นภารกิจหลักของเราในฐานะประธานการประชุม G7
ดร. เทดรอส เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า
“โรคระบาดโควิด-19 ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของระบบสมัยใหม่ซึ่งจะช่วยให้โลกปลอดภัยจากโรคระบาดได้ผ่านการตรวจสอบเชิงรุกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับชุมชน การจัดลำดับพันธุกรรมเชื้อโรคอย่างแม่นยำและว่องไว รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลทั่วโลกด้วย
“สหราชอาณาจักรถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการเฝ้าระวังเชื้อโรคและศึกษาลำดับพันธุกรรมเชื้อ รวมถึงในการพัฒนาวัคซีนด้วย ผมดีใจเป็นอย่างยิ่งที่สหราชอาณาจักรภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันจะร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกเพื่อช่วยให้ทั่วโลกมีระบบเฝ้าระวังเชื้อที่ดียิ่งขึ้นและเป็นโลกที่ปลอดภัยมากขึ้น”
ดร. เจเรมี ฟาร์ราร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิ Wellcome Trust กล่าวว่า
“การระบาดในครั้งนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวต่อภัยซึ่งเกิดจากเชื้อโรคซึ่งติดต่อสู่กันได้อย่างรวดเร็ว การปรับปรุงระบบเครือข่ายเฝ้าระวังโรคของเรานั้นเลยกำหนดเวลามานานแล้ว
“ที่ผ่านมาเราไม่เคยได้อุดช่องว่างนี้หลังมีโรคระบาดใหญ่ และครั้งนี้เราต้องลงมือก่อนที่จะปล่อยให้การระบาดครั้งนี้ผ่านไปเฉย ๆ ความร่วมมือจากสหราชอาณาจักรจะมีบทบาทสำคัญในการไปสู่เป้าหมาย มีไม่มีเวลามากแล้วในการทำแผนการนี้ให้เกิดขึ้นจริงได้”
นอกจากนี้ นายบอริสยังได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสุดยอดด้านสุขภาพระดับนานาชาติซึ่งจัดขึ้นโดยอิตาลีซึ่งเป็นประธานจี 20 (การประชุมของกลุ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้บริหารธนาคารกลางจากประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 19 ประเทศรวมกับสหภาพยุโรป) ร่วมกับสหภาพยุโรปในวันศุกร์ที่ผ่านมา การประชุมมีเป้าหมายเพื่อรับรองปฏิญญาโรม (Rome Declaration) ซึ่งเป็นหลักการในการรับมือกับวิกฤตด้านสุขภาพของโลก
