จับแก๊งค้าเหล้าเถื่อน! อินเดียเซ่นพิษแอลกอฮอล์ 25 ราย อีกหลายคนยังนอนรพ.
จับแก๊งค้าเหล้าเถื่อน! – วันที่ 31 พ.ค. เอเอฟพีและ เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า ตำรวจรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของ อินเดีย จับกุมชายต้องสงสัย 10 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสุราเถื่อนที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงจนเป็นพิษ เป็นเหตุทำให้ผู้บริโภคเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 25 ราย และอีกหลายคนยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ด้านโฆษกตำรวจรัฐอุตตรประเทศระบุอีกว่าเหยื่อซื้อสุราพิษจากร้านแห่งหนึ่งของสองพี่น้องในพื้นที่เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่กี่สัปดาห์หลังจากทางการผ่อนผันมาตรการห้ามจำหน่ายสุราที่บังคับใช้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ภาพประกอบ: A customer carries a bottle of alcohol bought from a liquor shop in India earlier this month. At least 25 people have died after drinking toxic alcohol in northern India, police said on Sunday. Police have arrested 10 men for selling the alcohol in Uttar Pradesh, India’s most populous state. EPA
ทั้งนี้ อินเดียมีผู้เสียชีวิตหลายร้อนคนจากการบริโภคสุราเถื่อนหลายร้อยรายในแต่ละปี ขณะที่สมาพันธ์สุราและไวน์นานาชาติของอินเดียระบุว่าในประเทศมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 5,000 ล้านลิตรในทุกๆ ปี
และมากกว่าร้อยละ 40 เป็นสุราเถื่อนซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เมทานอลหรือเมทิลแอลกอฮอล์เพื่อเพิ่มความแรงของเครื่องดื่ม แต่ผลที่ตามมาคือเมื่อเมทานอลเข้าสู่ระบบร่างกายจะสร้างความเสียหายให้กับตับ อาจทำให้ตาบอด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
ภาพประกอบ: Devotees hold bottles of liquor as they offer at a shrine of a locally idolised divinity on the outskirts of Amritsar. Local media reported that the alcohol was bought on Thursday from a shop run by two brothers. Alcohol shops in the state had been closed under a coronavirus lockdown imposed to combat a devastating wave. About 160,000 people have died countrywide since April 1. But as case numbers started to slow, Uttar Pradesh allowed alcohol sales to resume in some districts on May 11 with restricted hours. AFP
ภาพประกอบ: An Indian villager waits for customers at a roadside stall selling locally-brewed alcohol on the outskirts of Siliguri. (AFP)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
